เข้าสู่ปีใหม่ไทยอย่างเป็นทางการ หลังจากวันหยุดสงกรานต์ที่ผ่านมา เที่ยวติดดินได้มีโอกาสไปเที่ยว เมืองกาญจนบุรี อีกหนึ่งจังหวัดที่มีแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่สมบูรณ์อีกพื้นหนึงในฝั่งตะวันตก และเป็นสถานที่ที่มีเรื่องราวมากมายทางประหวัติศาสตร์ในช่วงสงครามโลกครั้งที่2 เป็นอีกหนึ่งจังหวัดที่ชาวต่างชาติจากทั่วทุกมุมโลกจะต้องเดินทางมายังจังหวัดแห่งนี้ ทริปนี้เราก็จะพาไปหลักๆก็คือ อำเภอสังขละบุรี จะพาไปดูสงกรานต์ของชาวสังขละบุรีกัน เริ่มต้นทริปของเรา เมื่อก่ินที่จะเข้าตัวเมืองกาญจนบุรี เราจะพาเพื่อนๆไปชมความยิ่งใหญ่ของ ต้นจามจุรียักษ์ มีอายุมากกว่า 100 ปี ขนาด 10 คนโอบ รัศมีทรงพุ่มเฉลี่ย 25.87 เมตร เส้นผ่าศูนย์กลางร่มเงาประมาณ 51.75 เมตร ความสูงจากพิ้นดินถึงยอด 20เมตร มีพื้นที่ของพุ่มประมาณ 1 ไร่ 2 งาน 4 วา ซึ่งปัจจุบันหาชมต้นไม้ขนาดใหญ่เช่นนี้ได้ยาก ใกล้ ๆ กันก็จะมีศาลเจ้าแม่จามจุรี ที่ชาวบ้านให้ความนับถือมาก

ต้นจามจุรียักษ์ ตั้งอยู่ในอำเภอด่านมะขามเตี้ย บ้านกสิกรรม หมู่ 5 ตำบลเกาะสำโรง หากมาจากวัดถ้ำมังกร สามารถเดินทางเข้าไปในกองการสัตว์และเกษตรกรรมที่ 1 (กองผสมสัตว์) กรมการสัตว์ทหารบก ผ่านวัดถ้ำมุนีย์นาถ เมื่อมาถึงกองการสัตว์และเกษตรกรรมที่ 1 ให้เข้าไปข้างใน ต้นจามจุรียักษ์จะอยู่ข้างในกรมการสัตว์ทหารบก เมื่อเข้าไปข้างในกรมจะมีทางแยกซ้ายขวาไม่มีป้ายบอกให้เลี้ยวขวา แล้วตรงไปเรื่อย ๆ จะมีป้ายบอกตลอดทาง ไม่มีค่าเข้าชม และเปิดตลอด 24 ชม.

และเลยไปอีกไม่ไกลจากต้นจามจุรียักษ์ เราก้จะไปชมความสวยงามของวัดถ้ำเสือ ตั้งอยู่ อ.ท่าม่วง จ.กาญจนบุรี สิ่งที่สะดุดสายตาของนักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวชมวัด เพื่อกราบนมัสการพระธาตุ ก็คือ ความใหญ่โตกว้างขวาง ของวัด และพระพุทธรูปปางประทานพรที่ใหญ่ที่สุดของจังหวัดกาญจนบุรีตัวองค์ พระสวยงามประดับ ด้วยโมเสคสีทองทั้งองค์ เมื่อเดินทางมาถึงด้านบน ก็พบกับความสดชื่นของลมที่พัดเย็น และแรงทีเดียว มองไปด้านล่างเห็นเป็นทุ่งนาเขียวขจี นอกจากนี้ยังมีพระเจดีย์เกศแก้วปราสาท องค์พระเจดีย์เป็นสีอิฐ ทั้งองค์ แบ่งเป็นชั้นต่าง ๆ หลายชั้น แต่ละชั้นจะ ประดิษฐาน พระพุทธรูปต่างๆ มากมาย จนถึงชั้นบนสุดเป็นที่ประดิษฐานของพระบรมสารีริกธาติที่อัญเชิญ มา จากประเทศ อินเดีย และยังมีวิหารต่าง ๆ ให้เข้าไปสักการะพระพุทธรูปและชื่นชมความงดงามของจิตรกรรมฝาผนังภายใน เมื่อชมจนทั่วแล้วก็ลงไป ข้างล่างเพื่อเข้าถ้ำเสือ เป็นถ้ำขนาดเล็กอยู่บริเวณเชิงเขาด้านล่าง ภายในประดิษฐานพระประจำวันเกิดและจำหน่ายวัตถุมงคล

หลังจากที่ไหว้พระขอพรให้เดินทางโชคดีมีชัยไปแล้วก็ได้เวลาไปเติมพลัง เพื่อที่จะต่อสู้กับเส้นทางขึ้นเขาที่จะไปสังขละบุรี หลังจากที่เที่ยวติดดินเคยพาไปที่ร้านมีนาคาเฟ่กันมาแล้วรอบนี้จะพาไปดูความสวยงามของอีกหนึ่งร้านเปิดใหม่สดๆร้อนๆข้างๆวัดถ้ำเสือ นั้นก็คือร้านรักษ์คันนา เป็นร้านเล็กๆไม่ใหญ่มากตั้งอยู่ทางด้านขวามือของวัดถ้ำเสือ จุดเด่นของร้านจะเป็นไม้หลังคาจาก มีสะพานไม้เดินทอดออกไปที่ทุ่งข้าวที่กำลังปลูกขึ้นเขียวๆ รู้สึกสบายตา แต่ตัวร้านจะไม่มีแอร์มีแต่พัดลมให้บริการ นอกจากมี เค้ก เครื่องดื่มต่างๆมากมายแล้ว ที่นี้ยังมีก๋วยเตี๋ยวในนั่งห้อยขาเรียกว่ากินไปดูความสวยงามของวัดถ้ำเสือดูทุ่งข้าวสีเขียวไปโอ้ย ฟินสุดๆ ถ้าไปกันไม่ถูกก็โทรไปถามได้ที่ เบอร์ 0800616888 รีบไปเช็คอินนะจะบอกให้

หลังจากที่เติมพลังทั้งก๋วยเตี๋ยวกาแฟกันแล้วก็เตรียมตัวลุยเดินทางกันไปที่ สังขละบุรีกันเลยครับบบ

ดินแดนแห่งมนต์ขลัง สังขละบุรี เป็นอีกสถานที่หนึ่งที่ใครหลายๆคนต้องไปสักครั้ง เพื่อสัมผัสมนต์เสน่ห์วิถีผู้คนชาวมอญและอีกอย่างหนึ่งที่มีผู้คนทั้งชาวไทยแต่ต่างชาติมาที่สังขละ ก็คือการที่ได้มาเห็นและเดินบนสะพานไม้ที่ยาวที่สุดในประเทศไทยรองจากสะพานไม้อูเบ้งที่ประเทศพม่า เรียกได้ว่าจะทำให้คุณหลงเสน่ห์สถานที่แห่งนี้จนต้องกลับมาอีกหลายๆครั้ง ยิ่งสำหรับคนที่ชอบถ่ายภาพแล้ว ที่นี้เหมือนเป็นสถานที่บทเรียนหน้าหนึ่งที่มีเรื่องราวให้คุณได้บันทึกมากมาย ทั้งวิวสถานที่ เรื่องราว แต่ละช่วงเวลาที่มีมนต์เสน่ห์ แตกต่างกันออกไป ในรอบนี้ เที่ยวติดดิน จะพาคุณไปสัมผัสกับ “เทศกาลสงกรานต์สังขละบุรี”และกิจกรรมที่คุณมาสังขละแล้วไม่ควรพลาดและต้องทำเลย เพราะไม่อย่างนั้นจะเหมือนว่าคุณมาไม่ถึงสังขละบุรี

เมื่อมาถึงสะพานไม้ที่ยาวที่สุดในประเทศแล้วอย่าลืมที่จะไเดินเล่นข้ามฝั่งบนสะพานไม้ ซึ่งระหว่างทางคุณจะได้พบเจอกับเด็กๆที่คอยมาแปะแป้งทานาคาให้บนใบหน้าถือว่าเป็นสิ่งที่มาถึงแล้วก็ลองแปะสักหน่อยเพื่อเพิ่มลวดลายบนใบหน้าซึ่ง ชาวพม่ามอญจะทาแป้งทานาคาเพื่อป้องกันแดดด้วย

ต่อมาก็คือการนั่งเรือไปชมความสวยงามของวัดวังก์วิเวการาม (เดิม).ใต้น้ำแต่ช่วงที่เราไปนั้นน้ำมันลดตัววัดจึงไม่ได้อยู่ใต้น้ำ จนหลายคนเรียกกันว่าเมืองบาดาล นักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวในช่วงฤดูร้อนถึงต้นฤดูฝน ตั้งแต่ประมาณเดือนมีนาคม – มิถุนายน เป็นช่วงหน้าแล้ง น้ำจะลดลงมาก จะสามารถเดินเข้าไปเยี่ยมชมโบสถ์เก่าได้ ส่วนคนที่มาเที่ยวช่วงปลายฝนจนถึงฤดูหนาว ตั้งแต่ประมาณกันยายน – มกราคม อาจจะได้เห็นแค่บางส่วนของตัวโบสถ์ที่โผล่พ้นน้ำ หรือบางทีก็จมน้ำเป็นเมืองบาดาล จะมีให้เห็นก็เพียงแต่ยอดหอระฆังเดิมเท่านั้นที่สูงพ้นน้ำเท่านั้น นอกจากวัดใต้น้ำแล้วก็ยังมีวัดเก่าที่มีต้นไม้คลุม ให้คุณได้ชมความสวยงามอีกด้วย

หลังจากเดินทางและเดินเที่ยวกันแล้วถึงเวลาที่จะหาที่พักในสังขละบุรี ในครั้งนี้เราแนะนำกันที่วังกะรีสอร์ท ที่มีห้องให้เลือกมากมายหลายแบบพร้อมทั้งอาหารเช้า อยู่ไม่ไกลจากสะพานมากไปมาสะดวกติดถนน สามารถรอบรับคณะได้ถึง90คน มีที่จอดรถพร้อม บริการต้อนรับเป็นอย่างดีห้องพักสะอาจ น่านอน สำหรับใครที่อยากจะมานอนที่นี้ก็สามารถติดต่อสอบถามไปได้เลยที่ เบอร์ 087 153 9261

เมื่อได้ที่พักเป็นที่เรียบร้อยแล้วเราก็ต้องออกไปหาของกินกันที่ตลาดสังขละบุรี ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากที่พักของเรามากนัก เมื่อมาถึงสังขละแล้วจะกินของะรรมดาได้ที่ไหนก็ต้องลองชิมอาหารพื้นถิ่น ที่มาสังขละแล้วไม่ควรพลาดก็คือ เครื่องในเสียบไม้ละ1บาท ซึ่งคล้ายๆกับลวกจิ้มโดยจะมีน้ำจิ้มให้เราแล้วเราก็จะเลือกเครื่องในหมูที่เสียบไม้อยู่ในหม้อน้ำพะโล้ กินเพลินๆคนละ30-40บาทจะได้นอนหลับฝันดีซึ่งร้าน จะอยู่หน้า7-11สังขละบุรี ให้เราเลือกทานกันได้เลย

กินอิ่มนอนหลับแล้วใครที่อยากจะสัมผัสกับวิถีชาวมอญสังขละแล้วละก็ต้องตื่นมาใส่บาตรยามเช้าซึ่งที่นี้ชาวบ้านก้จะจัดเช็ตสำหรับไว้ใส่บาตรให้นักท่องเที่ยวได้ใส่กันอย่างพร้อมเพียงแต่ถ้าใครที่อยากจะใส่ชุดมอญเพื่อให้เข้ากับบรรยากาศก้มีให้เช่ากันด้วยนะเออ หลังจากใส่บาตรแล้วอย่าพลาดที่จะหาโจ้กร้อนๆ ชากาแฟ รองท้องในมื้อเช้า ซึ่งแถวที่เราใส่บาตรก็จะมีร้านให้เลือกหลากหลาย

หลังจากกิจกรรมในช่วงเช้าผ่านไปมาถึงกิจกรรม ที่เรารอคอยนั้นก็คือ เทศกาลสงกรานต์สังขละบุรี ถามว่างานสงกรานต์ที่นี้ต่างจากที่อื่นอย่างไรบ้างนั้น ก็คงจะเป็นเรื่องความสวยงามของผู้คนวิถีที่ยังคนรักษารูปแบบของชาวมอญไว้ได้เป็นอย่างดี ที่นี้เค้าจะสงน้ำพระโดยใช้กระบอกไม่ไผ่ โดยพระสงฆ์ที่ลงมาจากวัดจะมีชาวมอญผู้ชายนอนเรียงกันเป็นสะพานให้พระเดินเหยียบผ่านหลังไปเพื่อไปยังจุดสงน้ำพระ โดยชาวมอญต่างจะพากันเตรียมน้ำมาเพื่อสงน้ำพระ และจะแต่งกายแบบชาวมอญกันอย่างสวยงาม และบางครั้งก็จะเตรียมน้ำหอมใส่ขันน้ำหรือภาชนะตั้งวางบนหัวแล้วเดินมารอสงน้ำพระที่รางไม้ไผ่เป็นภาพที่หาดูได้ยาก ความร่วมมือร่วมแรงของผู้คนชาวสังขละบุรีที่ทำให้ประเพณีสงกรานต์สังขละบุรีที่นี้น่าสนใจเพราะหลังจากที่เค้าสงน้ำพระกันเสร็จแล้วรางไม้ไผ่ที่ทำขึ้นเพื่อรอให้ชาวมอญมาสงน้ำนั้น ชาวบ้านจะช่วยกันเก็บอย่างรวดเร็วเหมือนไม่เคยมีรางไม้ไผ่อยู่ตรงนั้น สุดยอดเลยใช่ไหมครับ นี้เป็นเพียงส่วนเล็กๆที่ทำให้ประเพณีนี้น่าสนใจ ของชุมชนชาวมอญสังขละบุรี

นอกจากเทศกาลประเพณีสงการนต์แล้วที่สังขละก็ยังมีประเพณีรดน้ำต้นโพธิ์ที่น่าสนใจ สำหรับใครที่อยากจะมาเที่ยวสังขละบุรีนั้น สามารถมาได้ตลอดทั้งปีอยู่ที่ว่าจะชอบแบบไหน แต่ช่วงที่นักท่องเที่ยวจะชอบมามากที่สุดก็คงหนีไม่พ้นปลายปีที่มีอากาศที่หนาวเย็น สำหรับการเดินทางมาสังขละ นอกจากรถยนต์ส่วนตัวแล้วก้ยังมีคิวรถตู้ออกทุกๆชั่วโมงจากตัวเมืองกาญจนบุรี หรือจากขนส่งสายใต้ใหม่ ถ้าใครจะขับรถมาเองก็ต้องใช้ความชำนาญในการขับขึ้นเขาที่มีทางโค้งอยู่พอสมควร สังขละบุรีคงจะเป็นอีกจุดหมายปลายทางหนึ่งของนักท่องเที่ยวที่ชอบความเรียบง่ายเงียบสงบในวิถีที่ยังคงดำเนินไป แล้วทริปหน้าจะพาคุณไปเที่ยวกับเที่ยวติดดินกันอีกนะครับบ

ขอบคุณการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย