dsc01394

ทุกพื้นที่ในประเทศไทยเรียกได้ว่าแทบจะไม่มีที่ไหนเลยที่ย่างก้าวพระบาทของ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช หรือ ในหลวงรัชกาลที่ 9 ของคนไทยทุกคนจะไม่ทรงเสด็จไปถึง ไม่ว่าที่แห่งนั้นจะทุรกันดาร ยากลำบาก หรืออันตรายเพียงใด พระองค์ก็จะทรงเสด็จพระราชดำเนินไปโดยไม่มีข้อแม้ใด ๆ เพื่อรับรู้ถึงปัญหาและหาทางแก้ไขให้แก่ราษฎรของพระองค์ จึงนำมาซึ่งโครงการพระราชดำริต่าง ๆ กว่า 4000 โครงการ เรียกว่าแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยถ้าจะต้อง “ตามรอยพระบาท” ของพระองค์ไปในทุกที แต่อย่างน้อยในวันนี้เราก็จะขอพาไปเส้นทางตามรอยพระบาทกันที่ พิษณุโลก และ เพชรบูรณ์ ที่น่าจะพอทำให้ลูกของพ่ออย่างเราได้คลายความคิดถึง และรำลึกถึงความเสียสละของพระองค์ไปได้บ้างไม่มากก็น้อย

dsc00693 dsc00691 dsc00688 dsc00661

สวนรุกขชาติสกุโณทยาน เป็นชื่อที่ได้รับพระราชทานนามจาก พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 เมื่อครั้งเสด็จประพาสพร้อมด้วย สมเด็จพระนางเจ้าฯ สิริกิตต์ พระบรมราชินีนาถ เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2501 ทรงโปรดเกล้าพระทานนาม สกุโณทยาน แทนคำว่า วังนกแอ่น ซึ่งเคยใช้อยู่เดิมเมื่อครั้งที่ได้รับการจัดตั้งขึ้นเป็น วนอุทยานวังนกแอ่น สมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี ต่อจากนั้นกรมป่าไม้ได้เปลี่ยนชื่อจาก วนอุทยานสกุโณทยาน มาเป็น สวนรุกขชาติสกุโณทยาน ที่ใช้อยู่ทุกวันนี้ นอกจากชื่อที่ทรงประทานให้แล้ว ในการเสด็จประพาสครั้งนั้นทั้ง 2 พระองค์ยังได้ทรงปลูกต้นไม้ไว้เพื่อเป็นสิริมงคลแก่สถานที่ โดย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ทรงปลูก ต้นประดู่ เพื่อเป็นสัญลักษณ์ความมั่นคง ความสามัคคีของประชาชน และประเทศชาติ สมเด็จพระนางเจ้าฯ สิริกิตต์ พระบรมราชินีนาถ ทรงปลูก ต้นพยอม เพื่อเป็นสัญลักษณ์แห่งชื่อเสียง เกียรติยศ และเป็นมิ่งขวัญของคนไทยทั้งชาติ ปัจจุบัน ต้นไม้ของพ่อ และ ต้นไม้ของแม่ ได้เจริญเติบโตเป็นมิ่งขวัญให้กับชาวพิษณุโลกและคนไทยทั้งหลายที่เข้าไปยังสวนรุกขชาติแห่งนี้ เพื่อให้ทุกคนได้รำลึกถึงและช่วยกันรักษาสิ่งแวดล้อมตามรอยพ่อและแม่ของแผ่นดิน

dsc00672 dsc00671 dsc00668 dsc00667 dsc00665

ภายในสวนรุกขชาติสกุโณทยาน ยังมีเส้นทางท่องเที่ยวที่น่าสนใจอีกมากมาย อาทิ น้ำตกสกุโณทยาน น้ำตกชั้นเดียวขนาดใหญ่มีความสูงประมาณ 10 เมตร กว้างประมาณ 60 เมตร และเป็นส่วนหนึ่งของลำน้ำเข็ก ซึ่งเดิมทีน้ำตกแห่งนี้เคยมีชื่อว่า น้ำตกวังนกแอ่น ก่อนจะเปลี่ยนชื่อไปตามชื่อของวนอุทยานฯ ในปัจจุบัน พลับพลารับเสด็จ และ ศาลาวนาศัย ริมน้ำตกสกุโณทยาน ที่มีอายุกว่า 58 ปี พลับพลาที่ประทับเพื่อชมความสวยงามของน้ำตกเมื่อครั้งที่ทรงเสด็จประพาสยังสวนรุกขชาติสกุโณทยานแห่งนี้ นอกจากนี้ยังมี เส้นทางศึกษาธรรมชาติ ระยะทางกว่า 1 กม. ที่มี ความสมบูรณ์ของธรรมชาติ พร้อมกับกิจกรรมพักผ่อนสบาย ๆ อีกหลายกิจกรรม อีกทั้งยังสะดวกไปลานจอดรถขนาดใหญ่ ร้านค้าบริการอาหาร-เครื่องดื่ม และร้านของฝากของที่อีกระลึกมากมาย

dsc00680 dsc00676dsc00685

โครงการพัฒนาป่าไม้ตามแนวพระราชดำริ ภูหินร่องกล้า

ตั้งอยู่ภายในเขต อุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า อ.นครไทย จ.พิษณุโลก ท่ามกลางธรรมชาติที่เขียวขจี อีกทั้งบริเวณนี้ยังมีอากาศเย็นสบายตลอดทั้งปีอีกด้วย ที่นี่นับเป็นแหล่งเรียนรู้การพัฒนาป่าไม้ ฟื้นฟูสภาพป่า เพาะชำกล้าพันธุ์ไม้หายากที่ควรอนุรักษ์ไว้ เพื่อปลูกตามแนวพระราชดำริ รวมไปถึงการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตให้กับราษฎร นอกจากนี้ยังมีแปลงสาธิต การปลูกสตอรว์เบอร์รี่พันธุ์พระราชทาน ปลอดสารพิษ และแปลงปลูกกาแฟสายพันธุ์อาราบิก้า ให้เราได้เข้าไปชมได้อย่างใกล้ชิด และหากมีโอกาสได้แวะมาเที่ยวในช่วงหน้าหนาว เรายังจะได้พบกับ ทุ่งดอกกระดาษ ซึ่งถือว่าเป็นไฮไลท์ของที่โครงการพระราชดำริภูหินร่องเกล้าเลยก็ว่าได้ หรือแวะไปมุมถ่ายภาพยอดฮิตของจุดชมวิวแนวหินผาที่มีให้เลือกถึง 6 จุด ได้แก่ ผาไททานิค , ผาพบรัก , ผาบอกรัก , ผาคู่รัก , ผารักยืนยง และ ผาสลัดรัก ที่ตั้งอยู่ใกล้ ๆ กัน อ่อ!! อีกหนึ่งไฮไลท์ในช่วงหน้าหนาวก็คือ ที่นี่ยังเป็นจุดชมดอกพญาเสือโคร่งสีชมพูบานสะพรั่งที่สวยอีกจุดนึงด้วย

dsc00761 dsc00694 dsc00696 dsc00711 dsc00698 dsc00747 dsc00719 dsc00758dsc00744 dsc00736

จาก พิษณุโลก เลยต่อไปอีกนิด เพื่อตามรอยพระบาทไปชมอีกหนึ่งพลับพลาที่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 และ สมเด็จพระนางเจ้าฯ สิริกิตต์ พระบรมราชินีนาถ ใช้ทรงงานและแปรพระราชฐานมาประทับแรม ในวโรกาสที่พระองค์เสด็จมาตรวจเยี่ยมโครงการตามแนวพระราชดำริ ในพื้นที่ อ.เขาค้อ จ.เพชรบูรณ์

จุดชมวิวเขาตะเคียนโง๊ะ นับเป็นจุดชมวิวชมทะเลหมอกที่สวยที่สุดอีกแห่งหนึ่งบนเขาค้อเลยก็ว่าได้ ตั้งอยู่ห่างจากจุดชมวิวหลักเขาค้อเพียงแค่ 16 กิโลเมตรเท่านั้น ด้านบนนี้ยังมีจุดกางเต็นท์ที่สามารถนอนดูดาวยามค่ำคืน และตื่นมาชมพระอาทิตย์ขึ้นในยามเช้า ซึ่งสามารถชมวิวได้รอบด้านถึง 360 องศา อีกทั้งยังมองเห็นเขาปู่ เขาย่า หรือที่เรียกกันว่า ฟูจิแห่งเขาค้อ เพราะมีรูปทรงคล้ายภูเขาไฟฟูจิ รวมถึงผืนป่าและเส้นทางที่ทอดยาวของเขาค้อเบื้องล่าง นับเป็นทัศนียภาพที่สวยงามจนต้องขอบอกว่าหากมีโอกาสมาเที่ยวเขาค้อแล้วไม่ควรพลาด

dsc00828 dsc00849 dsc00877 dsc00898 dsc00892 dsc00957

พระตำหนักเขาค้อ

เป็นพระตำหนักที่ประทับของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 และ สมเด็จพระนางเจ้าฯ สิริกิตต์ พระบรมราชินีนาถ เมื่อได้ทรงมาตรวจเยี่ยมราษฎรอำเภอเขาค้อ และอำเภอใกล้เคียง รวมถึงพระราชดำเนินทอดพระเนตรงานโครงการในพระราชดำริ ภายในพระตำหนักประกอบด้วยอาคารเชื่อมต่อกันเป็นรูปวงแหวน มีเรือนข้าราชบริพารเป็นส่วนเชื่อมต่อกับพระตำหนัก ตัวอาคารมีลักษณะโค้ง 2 ชั้น ชั้นบนมี 2 ห้องใหญ่ ซึ่งเป็นห้องบรรทมของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระนางเจ้าฯ สิริกิตต์ พระบรมราชินีนาถ ชั้นล่างประกอบด้วย ห้องพระราชทานเลี้ยง ห้องครัว , ห้องเสวย , ห้องเข้าเฝ้า และห้องโถงใหญ่ ตลอดจนมีห้องบรรทมของ สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี , สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ด้านหน้าพระตำหนักมีสวนหย่อมและแปลงไม้ดอกมีลักษณะเป็นวงกลม ตรงกลางเป็นที่ตั้งของเสาธงมหาราช มีความสูง 60 เมตร ซึ่งสร้างขึ้นเนื่องในวโรกาสฉลองครบพระชนมายุครบรอบ 60 พรรษา ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9

นอกจากนี้แล้วพระตำหนักเขาค้อแล้วบริเวณใกล้ๆยังมีที่พักให้นักท่องเที่ยวมาพักแรมได้มีทั้งห้องพัก และลานกางเต้นท์ในราคาที่ไม่แพง พร้อมทั้งที่อาหารไว้คอยบริการด้วย

dsc00966 dsc00973 dsc00982 dsc00988dsc00968 dsc00992 dsc00993 dsc00996 dsc00997

โครงการทุ่งกังหันลมเขาค้อ อีกหนึ่งแลนด์มาร์คแห่งใหม่สำหรับการมาเยือนเขาค้อ ที่แห่งนี้เป็นแหล่งผลิตพลังงานสะอาด หรือก็คือโครงการผลิตไฟฟ้าโดยใช้พลังงานลม ตั้งอยู่บนที่ราบยอดเขากว่า 350 ไร่ จึงทำให้สามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์ได้กว้างไกล ท่ามกลางกังหันลมต้นมหึมาที่มีความสูงกว่า 100 เมตร เส้นผ่านศูนย์กลางของวงพัดยาว 120 เมตร จำนวน 24 ต้น เป็นใบพัดกังหันลมที่มีขนาดยาวที่สุดในประเทศไทย และมีกำลังการผลิตไฟฟ้าได้เฉลี่ยต่อปีราว 140 ล้านหน่วย อีกทั้งยังเป็นศูนย์เรียนรู้ตามปรัชญาเศรษกิจพอเพียง ด้านพลังงานทดแทน โครงการพัฒนาลุ่มน้ำเข็ก อันเนื่องมาจากพระราชดำริ อีกด้วย นอกจากนี้แล้วภายในโครงการยังมีมุมสวยๆให้ถ่ายรูปคู่กับทุ่งกังหันขนาดใหญ่มากมายยังมีชิงช้าชาวเขารถฟอร์มูล่าม้งในขับเล่นเกร๋ๆ อีกด้วย สำหรับคนที่อยากเข้าไปสัมผัสกับทุ่งกังหันลมขนาดใหญ่ยังมีบริการรถทัวศ์ชมวิวทุ่งกังหันลม

dsc01191 dsc01126 dsc01084 dsc01086 dsc01107 dsc01091 dsc01117 dsc01100 dsc01096 dsc01098 dsc01110 dsc01113 dsc01114 dsc01128 dsc01129 dsc01130 dsc01131 dsc01140 dsc01142 dsc01150 dsc01157 dsc01181 dsc01146dsc01154

พิพิธภัณฑ์หล่มศักดิ์ เป็นพิพิธภัณฑ์ที่รวบรวมประวัติความเป็นมา วิถีชีวิต วัฒนธรรมประเพณี ตลอดจนการเก็บประวัติข้อมูลของเมืองหล่มสักมาจัดแสดงไว้ เพื่อให้เป็นแหล่งเรียนรู้ด้านศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่น ซึ่งจะเปิดให้เข้าชมกันในทุกวันพุธ – ศุกร์ (หยุดทุกวันอาทิตย์ จันทร์ อังคารและวันหยุดนักขัตฤกษ์) วันละ 4 รอบ ได้แก่

รอบที่ 1 เวลา 09.00 – 10.00 น.รอบที่ 2 เวลา 10.30 – 11.30 น.

รอบที่ 3 เวลา 13.30 – 14.30 น.รอบที่ 4 เวลา 15.00 – 16.00 น.

และวันเสาร์เข้าชมได้ใน เวลา 17.00 – 21.00 น.

dsc01249 dsc01254 dsc01255dsc01326

ภายในพิพิธภัณฑ์หล่มศักดิ์ได้แบ่งห้องจัดแสดงออกเป็นทั้งหมด 10 ห้อง ได้แก่

ห้องที่ 1 ห้องประชาสัมพันธ์ : เป็นห้องแรกของพิพิธภัณฑ์หล่มศักดิ์ ที่จะมีเจ้าหน้าที่คอยต้อนรับและให้ข้อมูลเบื้องต้นกับนักท่องเที่ยว\

dsc01256

ห้องที่ 2 ห้องภาพยนตร์ : เพื่อรับชมเรื่องราวที่นำเสนอเกี่ยวกับวิถีชีวิตของคนไทหล่มตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ในรูปแบบการนำเสนอ 360 องศา

dsc01274

ห้องที่ 3 ห้องเมืองหล่มสักในอดีต : แสดงลำลองเมืองหล่มสักในสมัยก่อน (ช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สอง)

dsc01281 dsc01276 dsc01275 dsc01266

 

 

ห้องที่ 4 ห้องเสน่ห์เมืองหล่มสัก : “น้ำใหญ่” สามล้อถีบคันสุดท้ายที่รับใช้คนไทหล่มมาตลอดทั้งชีวิต “ตีมีดโบราณบ้านใหม่” กลุ่มชุมชนที่มีพื้นเพและบรรพบุรุษมาจากเมืองเวียงจันทน์

dsc01283

ห้องที่ 5 ห้องหล่มสักเมื่อวันวาน : จัดแสดงภาพพระราชกรณีย์กิจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 พร้อมพระบรมวงศานุวงศ์เสด็จมาบนแผ่นดินเมืองหล่มสัก จ. เพชรบูรณ์ และภาพเก่าของเมืองหล่มสักเมื่อวันวาน รวมทั้งหุ่นขี้ผึ้งสาวไทหล่มสวมเสื้อเมี่ยงแพร นุ่งผ้าซิ่นแถงตีนถ่าน เกล้าผมมวย ซึ่งถือเป็นเอกลักษณ์ที่โดดเด่นในการแต่งกายของผู้หญิงไทหล่มมาตั้งแต่สมัยโบราณ

dsc01259 dsc01291

ห้องที่ 6 ห้องจังหวัดหล่มศักดิ์ : จัดแสดงเรื่องเจ้าเมืองหล่มสัก คือ พระสุริยวงษา (เทศ สุวรรณภา) เป็นหุ่นขี้ผึ้งขนาดเท่าคนจริง แต่งกายด้วยเครื่องแบบเหมือนเจ้าเมืองในสมัยก่อนพร้อมทั้งมีการจำลองศาลา 8 เหลี่ยม ซึ่งเป็นที่ทำการศาลจังหวัดหล่มศักดิ์ในสมัยก่อน

dsc01306

ห้องที่ 7 ห้องวัฒนธรรมล้านช้าง : นำเสนอเรื่องราวที่แสดงถึงวิถีชีวิต ประเพณีและวัฒนธรรมของคนไทหล่ม

dsc01310 dsc01309

ห้องที่ 8 ห้องไทหล่ม : นำเสนอเรื่องราวของคนไทหล่ม จัดแสดงด้วยหุ่นขี้ผึ้งขนาดเท่าจริงของโซ้นเหรียน “ลาวพุงขาว” บรรพบุรุษของคนไทหล่มปัจจุบันเท่าที่ค้นพบและเป็นคนสุดท้ายที่ยังมีชีวิตอยู่ และ “สาวนุ่งซิ่นแถงตีนถ่าน” ผ้าซิ่นพื้นเมืองคนไทหล่ม

dsc01313

ห้องที่ 9 ห้องของกินบ้านเฮา : นำเสนออาหารพื้นบ้านของคนไทหล่มและอาหารแนะนำ โดยจัดแสดงเพื่อให้มองเห็นถึงหน้าตาของอาหารเหล่านั้น ได้แก่อาหารพิเศษ 4 ชนิด คือ ลาบเป็ด , เมี่ยงค้น , ขนมเส้น , ข้าวเหนียวหัวหงอก ซึ่งเป็นอาหารที่มีเรื่องราวของเมืองหล่มสักตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน

dsc01318 dsc01323dsc01316

ห้องที่ 10 ห้องเฮ็ดเวียกเฮ็ดงาน : เป็นการจำลองอาชีพและของดีที่เกิดจากคนไทหล่ม เช่น น้ำก้อบ่อคำ

dsc01304

คือการร่อนทองที่ห้วยเป้า ลำธารสายเล็ก ๆ บนเขาน้ำก้อที่มีเรื่องราวน่าค้นหา, เรื่องคนเก็บหมาก ด้วยวิธีการโล้จากต้นหนึ่งสู่อีกต้นหนึ่ง เป็นเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนใคร เป็นต้น

dsc01325 dsc01329

 

หากจะพูดถึงของฝากเมื่อมาเยือนที่หล่มสักแห่งนี้ มีดเนื้อดีที่ถูกตีขึ้นมาด้วยขั้นตอนและรูปแบบโบราณก็นับเป็นอีกหนึ่งผลิตภัณฑ์ที่ควรค่าแก่การเป็นเจ้าของ ซึ่งฝีมือของช่าง รุณ สอนหลวย ต้องบอกเลยว่าถือเป็นช่างตีมีดแบบโบราณที่ใช้ความรู้กว่า60ปีด้วยวัย83ปีแห่งการสั่งสมภูมิปัญญาหล่อหลอมเรื่องราวกว่าจะมาเป็นมีดสักเล่มให้ได้ใช้ ที่ตีด้วยขั้นตอนและรูปแบบโบราณ อีกทั้งยังมีเอกลักษณ์ตรงที่มีดทุกเล่มจะมีชื่อของช่างที่ตีมีดเล่มนั้น สลักไว้และจะสืบทอดกันทางสายเลือด ซึ่งปัจจุบันยังคงสืบสานวิธีการผลิตมีดส่งต่อมายังบรรพบุรุษรุ่นสู่รุ่น เรียกได้ว่าวัฒนธรรมการตีมีดของที่นี่ถูกถ่ายทอดมากกว่า 200 ปีไม่แพ้มีดของอรัญญิก จ.อยุธยา เลยทีเดียว

dsc01338 dsc01339 dsc01333 dsc01331 dsc01350 dsc01363

dsc01344 dsc01353
dsc01358

และอีกของฝากยอดนิยมที่แทบทุกคนต้องมีติดไม้ติดมือกลับบ้าน นั่นก็คือผลิตภัณฑ์แปรรูปอร่อย ๆ จาก ไร่กำนันจุล ไม่ว่าจะเป็น อาหารแปรรูป , ผลไม้แปรรูป , น้ำผลไม้ , ขนม รวมไปถึง ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่รังสรรมาจากธรรมชาติ ซึ่งในช่วงนี้ทางไร่ยังเปิดฟาร์มต้อนรับนักท่องเที่ยวเป็นปีที่ 7 กับงาน มัลเบอร์รี่เฟสต์ 2016 “ไร่กำนันจุล ไร่แห่งฟาร์มสุข” พบกับ 3 ฟาร์มสุข ปลูกประสบการณ์พิเศษ ได้แก่

ฟาร์มทัวร์ ดื่มด่ำกับธรรมชาติ ลอดอุโมงค์มัลเบอร์รี่ชิมผลสดจากต้น เรียนรู้วิถีเกษตรแบบพอเพียง “ตามรอยพระบาท” เพื่อน้อมรำลึกถึง พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ที่เคยทรงเสด็จเยี่ยมไร่กำนันจุลในปี พ.ศ. 2507 และได้พระราชทานรถแคตเตอร์ปิล่า D8 ให้แก่กำนันจุล เพื่อนำมาใช้ทำประโยชน์ต่อสังคม งานนี้จึงได้ทีการน้อมนำแนวพระราชดำริ ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง กับแปลงใหม่ “แปลงพอเพียง” บนพื้นที่ 9 ไร่ “เราปลูกเพื่อใช้เอง เหลือจึงขาย” เช่น ตะไคร้หอม นำมาทำสารไล่แมลงแทนสารเคมี , ทุ่งดอกดาวเรือง นำมาทำสีย้อมผ้าและขายดอก , กองปุ๋ยและเตาถ่าน ทำน้ำส้มควันไม้ ทำเพื่อใช้ในแปลงออแกนิค เป็นต้น

dsc01493 dsc01485 dsc01481 dsc01494 dsc01496

ฟาร์มอร่อย พบกับพาเหรดอาหารอร่อย เมนูพิเศษจากมัลเบอร์รี่ และสินค้าคุณภาพดีจากไร่กำนันจุล ใน “จุลชวนชิม”

ฟาร์มสนุก เต็มอิ่มและเพลิดเพลินกับกิจกรรมเสริมสร้างจินตนาการ ชมความน่ารักของสัตว์เลี้ยงไร่กำนันจุล พร้อมซื้อสินค้าเกษตรคุณภาพดี ดนตรีไพเราะในตลาดนัดในสวน และกิจกรรมสนุก ๆ อาทิเช่น จุลแจกจริง กิจกรรมเซอร์ไพรศ์ที่คุณอาจโชคดีโดยไม่รู้ตัว กิจกรรมแชะแล้วแชร์เพื่อรับของที่ระลึกจากไร่กำนันจุล

นอกจากนั้นยังจะได้สัมผัสกับวิถีและประเพณีวัฒนธรรม ตั้งแต่จุดกำเนิดจนถึงนวัตกรรมของหม่อนไหมในอนาคตกับ “Chul Thai Silk Form Soil To Silk” เส้นใยธรรมชาติอันทรงคุณค่าแห่งความสวยงาม ชมนิทรรศการเส้นไหมของ “จุลไหมไทย” ชมการสาธิตการเลี้ยงไหมตั้งแต่ออกจากไข่จนเป็นรังไหม ร่วมงานกันได้แล้วตั้งแต่วันนี้ – 31 มกราคม 2560

สำหรับค่าใช้จ่าย บัตรผู้ใหญ่ (ความสูง 120 ซม. ขึ้นไป) ราคา 150 บาท , บัตรเด็ก (ความสูง 90-120 ซม.) ราคา 80 บาท *เด็กต่ำกว่า 90 ซม. เข้าฟรี

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม โทร.056-771-555 หรือ อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.kamnanchul.com/mulerry-fest-2016

dsc01501 dsc01503 dsc01504 dsc01509 dsc01510 dsc01511 dsc01514 dsc01531 dsc01546 dsc01556 dsc01559 dsc01566 dsc01575 dsc01579 dsc01581 dsc01582 dsc01591 dsc01593 dsc01610 dsc01643 dsc01652 dsc01667 dsc01669 dsc01670 dsc01678 dsc01679 dsc01682 dsc01689 dsc01726