หากจะพูดถึง สกลนคร ซึ่งเป็นจังหวัดที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรมพร้อมแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ และแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศน์มากมาย ทำให้ จังหวัดสกลนคร เป็นอีกจังหวัดหนึ่งที่มีผู้คนเดินทางไปท่องเที่ยว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องชาติพันธุ์ที่มีความหลากหลายทั้ง6กลุ่มชาติพันธุ์ แหล่งประหวัติศาสตร์ เส้นทางเฉลิมพระเกียรติและเส้นทางตามรอยธรรม พร้อมทั้งมีผลิตภัณฑ์ต่างๆที่น่าสนใจที่สามารถทำมูลค่าให้กับชาวสกลนครหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป้นผ้าย้อมคราม น้ำหมากเม่า ข้าวฮางงอก เนื้อโคขุนโพงยางคำ เครื่องเซรามิกกุดนาขาม วันนี้เที่ยวติดดินจะพาไปเที่ยวที่ต่างๆที่น่าสนใจของ สกลนคร

สถานที่แรกพาเข้าวัดไหว้พระเจ้าแสนที่วัดพระธาตุเชิงชุม ศาสนสถานสำคัญคู่บ้านคู่เมืองที่ชาวสกลนครเคารพนับถือ ยอดฉัตรเหนือองค์พระธาตุทำด้วยทองคำบริสุทธิ์หนัก 247 บาท ภายในมีรอยพระพุทธบาท 4 พระองค์ นับตั้งแต่พระกกุสันทะ พระโกนาคม พระกัสสะปะ และพระโคดม เชื่อกันว่าอานิสงส์ในการนมัสการพระธาตุเชิงชุมนั้นจะก่อให้เกิดความเป็นสิริมงคลสูงสุดแก่ตนเองและครอบครัวให้มีความเจริญรุ่งเรือง แคล้วคลาดปราศจากอันตราย การนมัสการหลวงพ่อพระแสน ที่เชื่อกันว่าท่านจะให้พรในด้านโชคลาภ ให้มีเงินทองนับหมื่นนับแสน มีความมั่งมีศรีสุขในชีวิต
ในทุกวันจะมีประชาชนมากราบไหว้พระธาตุเชิงชุมและหลวงพ่อพระแสนเป็นจำนวนมากทีเดียว
พระธาตุเชิงชุม ตั้งหันหน้าไปทางหนองหานที่อยู่ทางทิศตะวันออก เป็นเจดีย์ก่ออิฐถือปูน รูปทรงสี่เหลี่ยม สูง 24 เมตร ฐานเป็นรูปสี่เหลี่ยม ส่วนบนเป็นทรงบัวเหลี่ยม ไม่มีลวดลายประดับ ที่ฐานเจดีย์ มีซุ้มประตูทั้งสี่ด้าน ซุ้มยอดประตูมีลักษณะเป็นยอดปราสาท ข้างในทึบสร้างด้วยศิลาแลง และหินทรายแดง มีซุ้มประตูหลอกแบบขอม องค์พระธาตุในปัจจุบันเป็นศิลปะล้านช้าง เนื่องจากช่วงที่อิทธิพลของอาณาจักรล้านช้างแผ่เข้ามาบริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย ราวพุทธศตวรรษที่ ๑๙ และได้มีการบูรณะองค์พระธาตุขึ้นมาใหม่

DSC07862 DSC07867 DSC07876 DSC07891 DSC07912 DSC07943 DSC07944 DSC07945 DSC07952

วัดป่าพุทธนิมิตรสถิตสีมาราม ( โบสถ์ดินแห่งแรกในประเทศไทย ) บ้านห้วยยาง ตำบลเหล่าโพนค้อ อำเภอโคกศรีสุพรรณ จังหวัดสกลนคร ซึ่งเป็นวัดกรรมฐานสายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ปัจจุบันมีพระครูปลัดสมบัติอาภัสสสโรเป็นเจ้าอาวาส

สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ทรงรับเป็นองค์อุปถัมภ์การสร้างอุโบสถดินแห่งแรกในประเทศไทย เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสเจริญพระชนมพรรษาครบ ๗ รอบ ๘๔ พรรษา ๕ ธันวาคม ๒๕๕๔ โดยจะมีการสร้างอุโบสถ กุฏิ เจดีย์ที่ทำจากดินทั้งหมด ซึ่งจะนำดินจากสังเวชนียสถาน ๔ แห่ง จากประเทศเนปาล อินเดีย และดินจากพระสถูปโบราณ สมัยพระเจ้าอโศกมหาราช จากเมืองตักศิลา ประเทศปากีสถาน มาผสมเพื่อความเป็นสิริมงคลในการสร้างอุโบสถดินด้วย
อุโบสถดินจะมีขนาดกว้าง ๗ เมตร ยาว ๑๕ เมตร พระสงฆ์ปฏิบัติสังฆกรรมได้ไม่น้อยกว่า ๕๐ รูป โดยใช้งบประมาณจัดสร้างไม่เกิน ๑ ล้านบาท นอกจากนี้ยังสร้างกุฏิดินอีก ๕ หลัง ราคาหลังละไม่เกิน ๑ แสนบาท และเจดีย์งบประมาณไม่เกิน ๑ ล้านบาท ซึ่งแรงงานที่มาจัดสร้างเป็นผู้ต้องขังในเรือนจำที่กำลังจะพ้นโทษ และผ่านการอบรมการฝึกอาชีพก่อสร้างบ้านดินจากกรมราชทัณฑ์ เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และยังเป็นการทำความดีคืนสังคม โดยสมเด็จพระสังฆราชยังได้ประทานพระพุทธรูปปางสมาธิ ขนาดหน้าตัก ๙ นิ้ว ที่แกะสลักจากหินหยกที่ได้อัญเชิญมาจากประเทศอินเดีย ประดิษฐานเป็นพระประธานในอุโบสถอีกด้วย

DSC07957 DSC07960 DSC07963 DSC07966 DSC07984DSC07970

พาไปชมวิถีของชาวภูไทที่ หมู่บ้านภูไทโนนหอม ในปี พ.ศ. 2400 ชนเผ่าภูไทกลุ่มนี้ได้อพยพมาจากเมืองภูวานากะแด้ง ประเทศลาว โดยพากันข้ามแม่น้ำโขง แล้วลัดเลาะรอนแรมมาตามแนวเทือกเขาภูพาน มุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตกสู่ที่ราบลุ่มที่เป็นหนองน้ำขนาดใหญ่ (ปัจจุบันคือหนองหารหลวง จังหวัดสกลนคร) จากนั้นก็แยกย้ายกันตั้งถิ่นฐานตามพื้นที่ที่เหมาะสม บางกลุ่มอาศัยปักหลักอยู่ใกล้แหล่งน้ำ แต่บางกลุ่มเลือกที่จะอยู่ตามบริเวณที่เป็นโนนหรือเนินใกล้เชิงเขาภูพาน (ปัจจุบันคือพื้นที่หนึ่งในเขตตำบลโนนหอม) สำหรับบรรพบุรุษของชนเผ่าภูไท บ้านโนนหอม นั้นได้ตั้งถิ่นฐานเป็นหมู่บ้านเล็กๆ กระจายอยู่ตามท้องทุ่งนา และริมป่าบุ่งป่าทาม

หากคุณเป็นคนที่สนใจในด้านขนบธรรมเนียมประเพณีไทยแล้วล่ะก็ หมู่บ้านโนนหอมแห่งนี้นับเป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่ไม่ควรพลาด เพราะที่นี่คุณจะได้สัมผัสกับวิถีชีวิตชาวภูไทอย่างใกล้ชิด ไม่ว่าจะเป็นการร่วมรับประทานอาหารเย็นกับชาวภูไท หรือที่เรียกว่า “พาแลง” การชมการแสดงฟ้อนรำของสาวชาวภูไท หรือการชมการแสดงรำมวยโบราณ ทั้งนี้ หากต้องการร่วมงานพาแลง หรือร่วมฟ้อนรำกับชาวภูไท สามารถติดต่อล่วงหน้าได้ที่ “ศูนย์สาธิตการตลาดบ้านโนนหอม เลขที่ 5 หมู่ 2 ตำบลโนนหอม อำเภอเมือง จังหวัดสกลนคร 47000”

DSC08021 DSC08028 DSC08032 DSC08033 DSC08034 DSC08040 DSC08055DSC08062 DSC08067 DSC08070 DSC08075 DSC08089 DSC08110

พิพิธภัณฑ์ภูพาน แหล่งเรียนรู้แห่งใหม่ของจังหวัดสกลนคร ตั้งอยู่ที่ตำบลธาตุเชิงชุม อำเภอเมือง จังหวัดสกลนคร บริเวณติดริมทะเลสาบหนองหาร (ฝั่งหลังโรงเรียนเชิงชุมราษฎร์นุกูล) เป็นแหล่งเรียนรู้เรื่องราวประวัติศาสตร์ วิถีชีวิต ประเพณี และวัฒนธรรม ของชาวจังหวัดสกลนคร ซึ่งเป็นดินแดนแห่งธรรม ประกอบด้วย 4 ธรรม ได้แก่ ธรรมะ อารยธรรม วัฒนธรรม ธรรมชาติ พิพิธภัณฑ์ภูพานจัดแสดงโซนต่างๆ ทั้งหมด 9 โซน ได้แก่ ห้องโหมโรง ,นิทรรศการ มหัศจรรย์ภูพาน”, ป่าบุ่งป่าทาม ป่าพรุอีสาน, หนองหารกับการตั้งเมืองสกลนคร, ห้องคนสกลนคร, อาศิรวาทองค์ราชัน องค์ราชินี, นิทรรศการเฉลิมพระเกียรติ, ดินแดนแห่งธรรม, และประติมากรรมลานกลางแจ้ง ดำเนินการก่อสร้างตามยุทธศาสตร์แผนการพัฒนากลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน (สกลนคร นครพนม มุกดาหาร และกาฬสินธุ์) ได้กำหนดให้มีโครงการหนึ่งจังหวัดหนึ่งผลิตภัณฑ์ เพื่อยกระดับโครงสร้างพื้นฐานในการส่งเสริมการท่องเที่ยวของกลุ่มจังหวัด ซึ่งในส่วนของจังหวัดสกลนคร ได้จัดทำโคงการก่อสร้างพิพิธภัณฑ์ภูพาน โดยการก่อสร้างเป็น4ระยะ ใช้งบประมาณทั้งสิ่น 88,801,000 บาท เริ่มเปิดบริการตั้งแต่เมื่อเดือนเมษายน 2555 อยู่ในความรับผิดชอบของผู้ว่าราชการจังหวัดและต่อมาเมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2556 จังหวัดสกลนครได้โอนภารกิจการบริหารจัดการพิพิธภัณฑ์ภูพานให้องค์การบริหารส่วนจังหวัดสกลนครเป็นผู้รับผิดชอบ เปิดให้ประชาชนผู้สนใจเข้าชมตั้งแต่เวลา 09.00 น.ถึงเวลา 17.00 น.ทุกวันอังคาร-อาทิตย์ ( หยุดวันจันทร์ ) โทร 08-4513-242

DSC08140 DSC08144 DSC08151 DSC08152 DSC08158 DSC08161 DSC08162 DSC08169 DSC08172 DSC08178 DSC08180 DSC08184 DSC08186 DSC08190 DSC08192 DSC08194 DSC08196 DSC08198 DSC08202

อุทยานบัว สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2553 เพื่อเป็นแหล่งรวบรวมบัวพันธุ์ต่างๆ และรองรับการประชุมวิชาการบัวนานาชาติปี พ.ศ.2553 ที่จัดขึ้นที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดสกลนคร นอกจากนี้ยังเป็นสถานที่ศึกษา ค้นคว้า ของนิสิต นักศึกษา และประชาชนทั่วไป รวมทั้งยังเป็นแหล่งพักผ่อนหย่อนใจ และเป็นแหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่ของจังหวัดสกลนคร

ปัจจุบันอุทยานบัวแบ่งออกเป็น ๓ ส่วนดังนี้
1. ส่วนรวบรวมพันธุ์บัว เป็นการรวบรวมพันธุ์บัวทั้งในและต่างประเทศทั้งหมด 34 สายพันธุ์ เช่นบัวกระด้ง บัวสาย บัวผัน-เผื่อน และบัวฝรั่ง รวบรวมไว้ในรูปแบบสระบัวบนพื้นที่ 10 ไร่ โดยมีทางเดินที่สามารถเดินลงไปชมบัวได้ อย่างใกล้ชิด
2. ส่วนแสดงพันธุ์บัว โดยนำบัวพันธุ์จำนวน 74 สายพันธุ์มาจัดโชว์บนกระถาง เพื่อให้ผู้สนใจ
ได้ใกล้ชิดกับบัวมากขึ้น
3. ส่วนนิทรรศการ ได้จัดแสดงไว้ในชั้นล่างของอาคารวิจัยและพัฒนา ซึ่งเป็นนิทรรศการความรู้และความเป็นมาของบัวพันธุ์ต่าง ๆ เหมาะแก่การศึกษาค้นคว้าได้เป็นอย่างดี

DSC08210 DSC08208 DSC08213 DSC08220 DSC08225 DSC08235 DSC08262 DSC08249

เดินทางกันมาเยอะแล้วเริ่มหมดแรงข้าวเหนียว มาอีกสานหรือสกลนครแล้วไม่ได้กินข้าวเหนียวส้มตำไก่ย่างเดี๋ยวจะหาว่ามาไม่ถึงอีสาน ข้าวเหนียวส้มตำไก่ย่างรสชาติแซ่บๆไม่ว่าคนใดก็ต้องยอมเพื่อที่จะหาร้านอร่อยๆเพื่อตามไปลิ้มลอง วันนี้เที่ยวติดดินขอแนะนำร้าน ลำดวน ไก่ย่าง เป็นอีกร้านที่อร่อยไม่แพ้ที่พังโคน ราคาไม่แพง ร้านนี้เป็นทางผ่านลงมาจากทางพระตำหนักภูภาณราชนิเวศน์ ไปพิพิธภัณฑ์หลวงปู่มั่น อยู่ต.ห้วยยาง อ.เมือง จังหวัดสกลนครค่ะ อยู่ตรงริมทางหลวงเลย มาถึงก็ให้จอดรถริมถนน เปิดทุกวัน 7โมงเช้าถึง 4โมงเย็น

IMG_4919

IMG_4918 IMG_4906 IMG_4911

ศูนย์ส่งเสริมศิลปาชีพบ้านกุดนาขาม อำเภอเจริญศิลป์ จังหวัดสกลนคร ซึ่งถือได้ว่ามีประวัติความเป็นมาที่ยาวนานทีเดียว โดยจุดเริ่มต้นเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2525 สมเด็จพระนางเจ้า ฯพระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมราษฎร บ้านกุดนาขาม ๆ เป็นหมู่บ้านหนึ่งที่มีราษฎรยากจนจำนวนมาก แต่ราษฎรมีความสามัคคี กลมเกลียวกันดี จึงทรงมีพระราช ดำริ ให้ราษฎรปลูกต้นไม้รักษาป่า คณะกรรมการหมู่บ้านก็พร้อมใจกันถวายที่ดินสาธารณะของหมู่บ้านจำนวน 43 ไร่ 3 งาน 32 ตารางวาสำหรับจัดตั้งโครงการป่ารักน้ำและราษฎรบ้านกุดนาขามได้ช่วยกันเสียสละแรงงานด้วยการปลูกต้นไม้โตเร็วและร่วมกันปลูกต้นไม้เสริมจากที่มีอยู่เดิม

เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2526 สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถได้เสด็จพระราชดำเนินทรงเยี่ยมโครงการป่ารักน้ำ บ้านกุดนาขามอีกครั้งหนึ่งทรงปลูกต้นไม้และทรงมีราชดำริให้ราษฎรปลูกเพิ่มเติมในช่วงนั้น ได้จัดครูมาช่วยฝึกสอนอาชีพต่าง ๆ ตามที่ราษฎรถนัดและทรงมีพระราชดำริ ที่จะให้บ้านกุดนาขามเป็นหมู่บ้านตัวอย่างจึงทรงมีพระเมตตาให้จัดตั้งศูนย์ส่งเสริมศิลปาชีพขึ้น ณ บ้านแห่งนี้โดยมีพระราชเสาวนีย์ให้พันเอก เรวัต บุญทับ (ยศในขณะนั้น ปัจจุบันคือพล.อ ณพล บุญทับ รองสมุหราชองครักษ์) เข้าเฝ้าเมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2526 ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐานเพื่อรับพระราชนโยบายเกี่ยวกับการจัดตั้งโรงงานเครื่องปั้นดินเผาขึ้นที่บ้านกุดนาขาม จึงเป็นจุดเริ่มต้นของศูนย์ส่งเสริมศิลปาชีพมาตั้งแต่บัดนั้น

DSC08283 DSC08284 DSC08285 DSC08289 DSC08293 DSC08301 DSC08318 DSC08334 DSC08342

วัดป่าสุทธาวาส

ประวัติความเป็นมา หลวงปู่เสาร์ กันตสีลเถระ กับ หลวงปู่มั่น ภูริทัตตเถระได้รับการอาราธนาจาก อุบาสิกาสามพี่น้อง ได้แก่ นางนุ่ม, นางนิล ชุวานนท์ และนางลูกอินทร์ วัฒนสุชาติ ผู้มีความเลื่อมใสในพระอาจารย์ทั้งสอง มาจำพรรษา ณ เสนาสนะป่าบ้านบาก ต่อมาจึงได้ดำเนินการสร้างเป็นวัดป่าสุทธาวาส ครั้งใน พ.ศ. 2484 ท่านจึงไปจำพรรษาที่เสนาสนะป่าบ้านโคก จวบจนวาระที่ท่านใกล้มรณภาพจึงได้มาทิ้งขันธ์ ณ วัดป่าสุทธาวาสใน พ.ศ. 2492 ส่วนสภาพวัดในปัจจุบันยังคงความร่มรื่นร่มเย็น สมกับเป็นสถานที่ที่องค์หลวงปู่มั่นเลือกจะมาพักอาพาธ หลังจากออกพรรษาในปี พ.ศ. 2492 แล้ว อาการป่วยขององค์หลวงปู่มั่นหนักขึ้นทุกวัน ท่านทราบถึงความเป็นไปในอนาคตแล้วปรารภที่จะไปมรณภาพที่วัดป่าสุทธาวาสในเมืองสกลนคร จึงได้มีการจะนำท่านไปยังวัดป่าสุทธาวาส โดยอาราธนาท่านพักบนคานหามแวะพักที่ศาลาหลังเล็กวัดป่าบ้านกลางโนนภู่ก่อนเป็นเวลา 11 วัน การที่ท่านมาพักที่วัดป่าบ้านกลางโนนภู่นี้ก็เพื่อโปรดนายอ่อน โมราราษฎร์ผู้สร้างวัดนี้และเป็นโยมที่อุปัฏฐากที่คอยช่วยเหลือท่านที่วัดป่าบ้านหนองผือ ตลอดระยะเวลา 5 ปี

ปัจจุบันกลายสภาพเป็นวัดป่ากลางเมือง เป็นสำนักเรียนสำคัญของพระภิกษุสงฆ์ในสกลนคร ปูชนียสถานสำคัญภายในวัดนอกจากอุโบสถและพิพิธภัณฑ์หลวงปู่มั่นแล้ว ก็ยังมี “จันทสารเจติยานุสรณ์” เจดีย์พิพิธภัณฑ์หลวงปู่หลุย จนฺทสาโรอีกด้วย โดยเจดีย์นี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงมีพระราชกระแสว่า “ควรสร้างเจดีย์ที่วัดป่าสุทธาวาส อำเภอเมือง จังหวัดสกลนคร ที่วัดนี้ มีอัฐิธาตุของพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระท่านจะได้อยู่ใกล้กัน”และยังทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ร่างแบบเจดีย์องค์นี้ ด้วยพระองค์เอง พระราชทาน

พิพิธภัณฑ์พระอาจารย์มั่น ภูริทัตเถระ

เนื่องจากวัดป่าสุทธาวาสเป็นสถานที่ในการละสังขารของพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ ภายในอาคารจึงมีอัฐิธาตุของพระอาจารย์มั่น และการจำลองรูปเหมือนโดยสร้างเป็นหุ่นขี้ผึ้งในท่าขัดสมาธิขึ้น รวมทั้งมีการใช้สถานที่แห่งนี้เป็นพิพิธภัณฑ์เพื่อจัดแสดงเครื่องอัฐบริขาร อาคารนี้ก่อสร้างเป็นสถาปัตยกรรมที่เรียบง่าย และดูใกล้ชิดกับธรรมชาติ อันเป็นการสะท้อนถึงการใช้ชีวิตของท่านตลอดทั้งชีวิตการอุปสมบท

เจดีย์จันทสารเจติยานุสรณ์

จันทสารเจติยานุสรณ์ หรือ เจดีย์พิพิธภัณฑ์หลวงปู่หลุย จันทสาโร ก่อสร้างขึ้น

ตามพระราชประสงค์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยพระองค์ทรงร่างแบบพระราชทานเบื้องต้นในการก่อสร้างอาคารหลังนี้และมีพระราชกระแสรับสั่งว่า “ควรสร้างเจดีย์ที่วัดป่าสุทธาวาส อำเภอเมือง จังหวัดสกลนคร ที่วัดนี้ มีอัฐิธาตุของพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ ท่านจะได้อยู่ใกล้กัน

DSC08465 DSC08435 DSC08442 DSC08445 DSC08447 DSC08455 DSC08458 DSC08463 DSC08470 DSC08471

ถ้ำเสรีไทย

ถ้ำเสรีไทยเป็นแหล่งสะสมอาวุธยุทธภัณฑ์ไปต่อสู้กับกองทัพญี่ปุ่นในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ของขบวนการเสรีไทย ซึ่งมีนายเตียง ศิริขันธ์ เป็นหัวหน้าขบวนการสายสกลนคร มีเส้นทางเดินเป็นวงรอบรวมระยะทาง 5 กิโลเมตร ผ่านป่าเต็งรัง ป่าเบญจพรรณ ถ้ำเสรีไทย แล้วยังต่อไปชมพระอาทิตย์ตกและจุดชมพระอาทิตย์ขึ้น ทางช่วงสุดท้ายจะผ่านทุ่งกระเจียวที่จะออกดอกงามในช่วงเดือนสิงหาคม อยู่ห่างจากที่ทำการอุทยานแห่งชาติไปทางทิศเหนือ 4.5 กิโลเมตร

DSC08479 DSC08483 DSC08484 DSC08485 DSC08516 DSC08519 DSC08522 DSC08526 DSC08533 DSC08535 DSC08538

พิพิธภัณฑ์ไทยโส้ อำเภอกุสุมาลย์ จังหวัดสกลนคร ตัวอาคารเป็นอาคารชั้นเดียว ด้านหน้าจะพบรูปปั้นเจ้าเมืองกุสุมาลย์ พระอรัญอาสา ผู้สร้างและปกครองเมืองกุสุมาลย์ และรูปปั้นวิถีชีวิตของกลุ่มคน ในอิริยาบทต่างๆ ที่ดูเหมือนจริงมาก ด้านในเก็บรวบรวมของใช้โบราณ ที่ตกทอดจากรุ่นสู่รุ่น อย่างถ้วย จาน กระเบื้อง โบราณ , เงินพดด้วง , อุปกรณ์ล่าสัตว์รวมไปถึง อุปกรณ์ทางการเกษตด้วย เครื่องแต่งกายของชนเผ่า จังหวัดสกลนคร มีชนเผ่าหลายเผ่า เช่น ภูไท ไทย้อ กะเลิง ไทลาว และไทยโส้ เป็นต้น

ประชากรส่วนใหญ่ของอำเภอกุสุมาลย์ จะเป็นไทยโส้ ซึ่งมีเอกลักษณ์ที่โดดเด่นมาก ไม่ว่าจะเป็นภาษา พูด ที่ฟังดูแล้วจะคล้ายๆ กับภาษาเขมร หากไม่ใช่คนในอำเภอกุสุมาลย์ หรือไม่มีความรู้ในเรื่องของภาษาโส้ จะไม่สามารถทราบความหมายได้เลยว่า คู่สนทนาของตนพยายามจะสื่ออะไร เพราะว่าในตัวของภาษาจะฟังยากเอาการ

ชุดประจำเผ่า จะเป็นชุดสีดำ เสื้อทรงกระบอกแขนยาวสีดำแต่งชายและแขนเสื้อด้วยสีแดง ส่วนผ้าถุง เป็นผ้าถุงยาวสีดำเช่นกัน ต่อชายผ้าถุงด้วยผ้าซิ่นลวดลายต่างๆ เครื่องประดับเป็นเครื่องเงินทั้งหมด มีสร้อยคอ เข็มขัด ต่างหู ดูแล้วสวยงามมาก หากท่านอยากเห็นชุดประจำเผ่า ของแนะนำให้มาในช่วงต้นเดือน กุมภาพันธ์ เพราะจะเป็นช่วง เทศกาลประจำปีของชาว อำเภอกุสุมาลย์ คือ งานโส้รำลึก ชาวอำเภอกุสุมาลย์ จะมีการใส่ชุดประจำเผ่ากันออกมาร่วมงาน ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย

ในงานมีการประกวดสาวงามประจำอำเภอ ที่เรียกกันว่า “ ธิดาโส้ ” ตอนเปิดงานจะมีการฟ้อนรำ ที่เป็นเอกลักษณ์ ของชาวอำเภอกุสุมาลย์ ที่เรียกกันว่า “ โส้ทั่งบั้ง ” เป็นการฟ้อนรำที่เอาไม้ไผ่มาเคาะเพื่อให้เป็นเสียง และการฟ้อนรำที่สวยงาม หาดูได้ไม่ง่ายเลย แค่ปีละ 1 ครั้งเท่า และอีกวันที่ท่านจะเห็นการฟ้อนรำอย่างนี้คือ งานเทศกาลแห่ปราสาทผี้ง ในวันออกพรรษาที่ชาวจังหวัดสกลนครรวมตัวกันเพื่อสืบทอดวัฒนธรรม ที่สืบทอดกันมาจากบรรพบุรุษ มีการฟ้อนรำของทุกชนเผ่า ความยาวของขบวนประมาณ 5 กิโลเมตร เป็นประเพณีที่สวยงามมาก

DSC08547 DSC08548 DSC08554 DSC08558 DSC08561 DSC08563 DSC08565 DSC08569 DSC08574 DSC08577 DSC08584 DSC08595 DSC08632

หมู่บ้านท่าแร่ (ชุมชนคาทอลิค) ตั้งอยู่ริมหนองหาร บนทางหลวงหมายเลข 22 (สกลนคร-นครนม) ต.ท่าแร่ อ.เมือง ห่างจากตัวเมืองประมาณ 21 กม. หมู่บ้านท่าแร่ เป็นที่รู้จักกันทั่วไปว่าเป็นหมู่บ้านที่มีประชากรนับถือศาสนาคริสต์มากที่สุดในประเทศไทย เป็นชุมชนที่เก่าแก่มีอายุกว่า 100 ปี ชาวบ้านแทบทุกหลังคาเรือนนับถือศาสนาคริสต์ ในอดีตประมาณปี พ.ศ.2427 ประชากรชาวท่าแร่เป็นคริตชน อพยพมาจากประเทศเวียดนามประมาณ 40 คน อาศัยอยู่ในตัวเมืองสกลนคร และมีบาทหลวงเกโก(มิชชั่นนารีชาวฝรั่งเศส) เป็นผู้ดูแลความเป็นอยู่ แต่เนื่องจากจำนวนประชากรเพิ่มขึ้น กอปรกับมีปัญหากับเจ้าหน้าที่ของรัฐบางคน จึงได้ย้ายมาตั้งถิ่นฐานใหม่ที่บ้านท่าแร่ ซึ่งเต็มไปด้วยป่าไม้มีหินลูกรังทั่วไป และคนพื้นเมืองเรียก “หินแฮ่” และยังเป็นที่ตั้งของอัครสังฆมณฑลท่าแร่ หนองแสง หรือสำนักมิสซังท่าแร่ฯ หมู่บ้านนี้มีผังเมืองเป็นรูปสี่เหลี่ยมตารางหมากรุก คล้ายกับบ้านเมืองในแถบประเทศตะวันตก นอกจากนี้ยังมีบ้านเรือนสถาปัตยกรรมแบบฝรั่งเศสที่งดงามเรียงรายสองข้างทางในถนนสายหลักของหมู่บ้านเป็นจำนวนมาก

ดังนั้น ในทุกๆ วันที่ 25 ธันวาคม ของทุกปี ชุมชนแห่งนี้จะจัดเทศกาลแห่ดาวคริสต์มาส โดยจัด “ขบวนแห่ดาวคริสต์มาส” ที่ อ.เมือง โดยเชื่อว่า “ดาว” เป็นสัญลักษณ์ของการเสด็จลงมาประสูติบนโลกมนุษย์ของพระเยซู ขบวนรถจะตกแต่ง ด้วยดาวขนาดใหญ่ ประดับประดาด้วยดวงไฟวิทยาศาสตร์หลากสีสันอย่างสวยงาม และจะสื่อถึงเรื่องราวการประสูติของพระเยซู ในทุกปีจะมีรถดาวเข้าร่วมขบวนประมาณ 200 คัน ชาวบ้านก็จะตกแต่งโคมไฟรูปดาวไว้ที่หน้าบ้าน จากนั้นเป็นการเฉลิมฉลองในหมู่ชาวคริสต์ มีการร้องเพลงประสานเสียง การประกวดร้องเพลงคริสต์มาส มีการจำหน่ายสินค้าและมีมหรสพทั้งคืน

DSC08637 DSC08638 DSC08640 DSC08669 DSC08655 DSC08689 - Copy DSC08683 DSC08684 DSC08692 - Copy DSC08708 - Copy DSC08713 - Copy DSC08714 - Copy DSC08724 - Copy DSC08690 - Copy DSC08745 - Copy DSC08748 - Copy DSC08757 - Copy

บ้านโพนยางคำ ต.โนนหอม อ.เมือง จ.สกลนคร อาจเป็นเพียงหมู่บ้านเล็กๆ ที่ดำรงชีวิตอยู่อย่างเรียบง่ายด้วยการเพาะปลูก เลี้ยงสัตว์ อันเป็นวิชาชีพชีพขั้นพื้นฐานของวิถีเกษตรกรรม และยังไม่เป็นที่รู้จักของคนทั่วไป
จนเมื่อปี พ.ศ. 2523 ได้มีการจัดตั้งสหกรณ์โพนยางคำขึ้น ซึ่งมีเกษตรกรในพื้นที่ให้ความสนใจเข้าร่วมเป็นสมาชิกจำนวนมาก เพราะถือเป็นอาชีพที่สร้างรายได้แก่ครอบครัวได้อย่างมั่นคง โคขุนโพนยางคำนั้นเป็นโคเนื้อลูกผสมพันธุ์ไทย-ฝรั่งเศส ที่เกิดจากการผสมเทียมโดยใช้น้ำเชื้อจากพ่อพันธุ์-แม่พันธุ์โคเนื้อ 3 สายพันธุ์ ได้แก่ พันธุ์ชาโรเลย์ส (Charolais) ถิ่นกำเนิดประเทศฝรั่งเศส เป็นสายพันธุ์หลัก, พันธุ์ซิมเมนทอล (Simmental) ถิ่นกำเนิดประเทศสวิตเซอร์แลนด์ และพันธุ์ลิมูซีน (Limusin) ถิ่นกำเนิดประเทศฝรั่งเศส
หลังจากลูกโคสายเลือดผสมมีอายุประมาณ 2 ปีแล้ว ก็จะเข้าสู่วิธีการ “ขุนโค” โดยจัดการถ่ายพยาธิ ฉีดวัคซีน และตอนก่อนที่จะนำเข้าคอก ทางสหกรณ์ใช้เทคนิคการให้โคฟังเพลงเพื่อให้วัวกินอาหารได้มาก โดยเชื่อว่าเนื้อวัวที่ได้จะนุ่ม และเลี้ยงด้วยอาหารธรรมชาติเป็นหลัก แบ่งเป็นอาหารหยาบที่ใช้หญ้าหรือฟาง เสริมด้วยอาหารสูตรพิเศษที่ใช้ธัญพืชในการผลิต ซึ่งเชื่อกันว่าเนื้อโคจะมีกลิ่นหอมและรสหวานยิ่งขึ้น ส่วน ที่คอกวัวนั้นมีการดูแลความสะอาดเป็นอย่างดี ทำความสะอาดพื้น เก็บมูล อาบน้ำวัว แปรงขัดขน ให้วัวกินอาหารได้มากขึ้น
ซึ่งความพิเศษของเนื้อโคขุนโพนยางคำนั้น เนื้อจะมีรสชาติอร่อย หอม เนื้อนุ่ม ชุ่มฉ่ำ ไม่มีกลิ่นเหม็นสาบ และมีลายไขมันแทรกตามมาตรฐานสากล (หรือที่เรียกว่า Marbling Score)

DSC08760 - Copy DSC08763 - Copy DSC08764 - Copy DSC08777 - Copy DSC08778 - Copy DSC08779 - Copy DSC08780 - Copy DSC08783 - Copy DSC08774 - Copy DSC08775 - Copy DSC08788 - Copy

จากภูมิปัญญาชาวบ้าน ที่นำพืชโบราณ “ต้นคราม” ที่เป็นที่เลื่องลือในสรรพคุณด้านสุขภาพมาย้อมสีผ้าแบบไร้สารเคมีที่ทำให้เมื่อใส่จะรู้สึกเย็นสบาย ไม่ร้อน ซึ่งถูกวิจัยมาแล้วโดยประเทศญี่ปุ่นและอเมริกา ว่าสามารถป้องกันรังสียูวีได้ แพทย์พื้นบ้านโบราณยังเชื่อว่ากลิ่นหอมของผ้าทำให้รู้สึกผ่อนคลาย สัมผัสกรรมวิธีผลิตผ้าย้อมคราม และเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ผ้าย้อมครามแปรรูปหลากหลาย อาทิ ผ้าซิ่น ผ้าคลุมไหล่ ผ้าพันคอ กระเป๋าถือ กระเป๋าเป้สะพายหลัง หมวก เสื้อยืดย้อมคราม ตุ๊กตาผ้าย้อมคราม

สืบสานหัตถศิลป์ ถิ่นผ้าย้อมคราม @ สกลนคร
มรดกแห่งภูมิปัญญา สู่ผืนผ้าครามงามเลอค่า
จากภูมิปัญญาชาวบ้านสู่งานหัตถศิลป์ จากผ้าฝ้ายย้อมครามทอมือสู่ผลิตภัณฑ์ทรงคุณค่า “ผ้าผิวสวย” ผ้าย้อมคราม สกลนคร เป็นมรดกทางภูมิปัญญาอันล้ำค่าจากบรรพบุรุษที่บรรจงปั้นแต่งผลงานชิ้นเอกบนเส้นสายใยผ้าจนได้เป็นผืนผ้าสีฟ้าครามงามเฉิดฉายประดับเรือนกายด้วยลวดลายต่างๆ เขาเล่าว่า…ผ้าย้อมครามสามารถบำรุงผิวของเราให้สวยได้ นับเป็นความโดดเด่นน่าหลงใหลของผ้าย้อมครามที่แตกต่างจากผ้าอื่นๆ เพราะความนุ่มละเมียดมือยามสัมผัส หรือยามสวมใส่ก็รู้สึกเย็นกาย และยังบำรุงผิวพรรณให้เนียนสวย
ผ้าย้อมครามไม่เพียงแต่ช่วยสร้างอาชีพ สร้างรายได้ ให้กับคนในชุมชน แต่ยังเติมเต็มความภาคภูมิใจและอิ่มเอมใจที่ได้สืบทอดภูมิปัญญาของบรรพบุรุษที่เป็นมรดกตกทอดกันมาอย่างยาวนานจากรุ่นสู่รุ่น เฉกเช่น ผ้าย้อมครามทั้ง 5 แห่งในพื้นที่จังหวัดสกลนคร ที่ยังคงความงดงามความประณีตอันเป็นเอกลักษณ์ในแบบฉบับของตัวเองอย่างน่าชื่นชม สร้างชื่อเสียงเป็นที่รู้จักได้รับการยอมรับทั้งในและต่างประเทศ และสิ่งนี้คือมรดกทางวัฒนธรรมที่คนไทยทุกคนควรร่วมกันรักษาไว้ตราบกาลนาน
DSC09776 DSC09788 DSC09794 DSC09798 DSC09835 DSC09847 DSC09854 DSC09859 DSC09862 DSC09873 DSC09893