เชียงใหม่เป็นอีกหนึ่งจังหวัดที่ใครๆก็อยากที่จะมาสัมผัสกับลมหนาว และวิถีแห่งล้านนา ศิลปะวัฒนธรรมที่ยังคงเด่นชัด มีความหลากหลายทางชาติพันธุ์ ภูเขาน้ำตก อาหารการกินที่มีความหลากหลายให้เลือก คาเฟ่เก๋ๆสโลว์ไลฟ์ มากมายให้เช็คอิน หากจะพูดถึงเชียงใหม่แล้วในเรื่องของการท่องเที่ยวนั้นมีให้เลือกหลายเส้นทาง วันนี้เที่ยวติดดินจะพาเพื่อนๆไปเที่ยว เชียงใหม่ในเส้นทางดอกไม้ ต้อนรับเดือนแห่งความรักที่กำลังจะถึงนี้ ว่าแล้วก็เราไปกันเลยดีกว่าว่าจะมีที่ไหนกันบ้าง สำหรับเชียงใหม่ การเดินทางมาที่แห่งนี้มีหลากหลายวิถีการเดินทางให้เลือกไม่ว่า จะเครื่องบิน รถไฟ รถทัวร์ ก็มีหลายเที่ยวหลายเวลาให้เลือกกันไป ไม่เสียเวลามากมายไปกันเลยดีกว่าครับ

ร้าน 324 เฮ้าส์บาร์ คาเฟ่ มีพื้นที่ทั้ง2โซน ให้เลือกนั่งสบายๆ นอกจากอาหาร กาแฟ แล้วยังบริการพวกคราฟ์เบียร์และค็อกเทล รวมถึงอาหารเย็น เป็นบ้านปูนเปลือย 2 ชั้น ร่มรื่น มานั่งจิบเบียร์ยามเย็น น่าจะเพลิดเพลินรับลมหนาวเป็นอย่างดี รอบๆตัวร้านมีพื้นที่ให้นั่งเล่นถ่ายรูปเก๋ๆหลายมุมกันเลยที่เดียว พิกัดร้าน 324 เฮ้าส์บาร์ คาเฟ่ อยู่บนถนนราชพฤกษ์ ตรงข้ามโรงเรียนนานาชาติซันไชน์ ไปยูเทิร์นกลับมา ร้านจะอยู่ก่อนถึง ร้านอาหารข้าวเม่าข้าวฟ่าง หรือจะโทรสอบถามเส้นทาง สำรองจองโต๊ะ กันได้ที่ 091 632 9656 ร้านเปิดให้บริการ ตั้งแต่เวลา 08.00 น. จนถึง เที่ยงคืนเลยนะครับ ร้านจะปิดทุกวันพุธ ฝากท้องได้ตั้งแต่มื้อเช้าจนถึงมื้อค่ำเลยก่อนที่จะไปเที่ยวต่อ

กินอิ่มกันแล้วจุดหมายต่อไปจะพาไปดูดอกไม้สวยๆกันที่ ศูนย์อนุรักษ์พันธุ์กล้วยไม้รองเท้านารี ดอยอินทนนท์ อยู่ในพื้นที่ของอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ ศูนย์แห่งนี้เป็นโครงการอันเนื่องมาจาก พระราชดำริ ในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อการวิจัยและเพาะพันธุ์กล้วยไม้ รองเท้านารีอินทนนท์ ที่มีความสวย งามแต่ใกล้จะสูญพันธุ์เต็มทีแล้ว อีกทั้งยังจัดเป็นแหล่งให้ความรู้สำหรับผู้ที่มีความสนใจ พันธุ์กล้วยไม้ ทั้งนี้ภายในศูนย์มีการตกแต่งภูมิทัศน์ อย่าง สวยงามด้วยสวนดอกไม้และกล้วยไม้ ทำให้นักท่องเที่ยวที่มาเยี่ยมชม สถานที่แห่งนี้น่าจะประทับใจได้ไม่ยาก ในช่วงเดือนมกราคมของทุกปี นอกจากจะได้ชมกล้วยไม้รองเท้านารีอินทนนท์แล้วยังได้ชม ดอกนางพญาเสือโคร่งสีชมพูซึ่งบานอยู่ริมทะเลสาป

การเดินทางโดยรถยนต์
ศูนย์อนุรักษ์พันธุ์กล้วยไม้รองเท้านารีอินทนนท์ ตั้งอยู่เส้นทางเดียวกับขุนวาง จากถนนเส้นหลักดอยอินนทนน์ประมาณ ก.ม. ที่ 31 จะมีซอยเลี้ยวเข้าไป ตรงไปเรื่อยไปทางขุนวางถึงก.ม. 8 จะเห็นป้ายศูนย์อนุรักษ์ ฯ

การเดินทางโดยรถประจำทาง
สำหรับคนที่ไม่มีรถส่วนตัวสามารถเหมารถสองแถวเหลือจากคิวรถอ.จอมทอง มาเที่ยวที่นี่ได้

หลังจากนั้นเดินทางกันต่อไปที่ ศูนย์วิจัยเกษตรหลวงเชียงใหม่ (ขุนวาง) ตั้งอยู่บนดอยอินทนนท์ ได้รับการจัดตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2525 ครั้งนั้นพระบาทสมเด็จ พระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช พระองค์ท่านทรงมีพระราชดำรัสให้กองพืชสวน กรมวิชาการเกษตร ดำเนินการใช้ท้องทุ่งแห่งนี้ เป็นสถานที่ทดลองและขยายพันธุ์พืชบนที่สูง เพื่อส่งเสริมและถ่ายทอดเทคโนโลยี แก่เกษตรกรบนที่สูง และเพื่อทดแทนการปลูกฝิ่น นักท่องเที่ยวที่มาเยือนศูนย์วิจัยเกษตรหลวงเชียงใหม่ (ขุนวาง) จะได้สนุกไปกับการท่องเที่ยวเชิงเกษตรที่เต็มไป ชมความสวยงามแห่ง แปลงไม้ ผลเมืองหนาวที่จะพากันออกดอกบานสะพรั่งดูสดใส ไม่ว่าจะเป็นสาลี่ พลัม ท้อ แนคตารีน หรือสตรอว์เบอร์รี่ หรือเดินชม ศึกษาแปลงทดลองการเกษตรภายในศูนย์ฯ ที่จะมีเจ้าหน้าที่นำชมตามเส้นทางที่กำหนดโดยมีจุดน่าสนใจต่างๆ ได้แก่ แปลงไม้ผล เมืองหนาว แปลงกาแฟ โรงกะเทาะเปลือกกาแฟ และแปลงทดสอบพันธุ์แมคคาเดเมีย สัมผัสความสวยงามของดอกนางพญาเสือโคร่ง หรือซากุระดอย ที่พากันออกดอกสีชมพูสว่างไสวเต็มต้น ขับให้ดอยขุนวางกลายเป็นสีชมพูไปทั้งดอย ในช่วงฤดูหนาว โดยเฉพาะ กลางเดือนมกราคม สนุกกับการดูนกที่มีหลากหลายสายพันธุ์ เนื่องจากศูนย์แห่งนี้ตั้งอยู่ในเขตเทือกเขาดอยอินทนนท์ อันเป็นแหล่งดูนก ที่สำคัญของเมืองไทย

ศูนย์ฯ​มีบ้านพักรับรองนักท่องเที่ยวได้ประมาณ 4 หลัง แต่ละหลังพักได้ตั้งแต่ 4-8 คน มีลานกางเต็นท์ 2 จุด คือ บริเวณลานหญ้าหน้า อาคารสำนักงาน และบริเวณหุบรับเสด็จ ทั้งสองจุดรับนักท่องเที่ยวได้ประมาณ 100 คน นอกจากนี้ยังมีอาหารบริการในราคากันเอง และกาแฟอาราบิกาให้ชิมฟรีตลอดทั้งวัน

ศูนย์วิจัยเกษตรหลวงเชียงใหม่ (ขุนวาง) บ้านขุนวาง หมู่12 ตำบลแม่วิน อำเภอแม่วาง จังหวัดเชียงใหม่ 50360 โทร 053 114 133 , 081 960 2033 , 053 114 136

สวนกุหลาบหลวงโครงการหลวงห้วยผักไผ่ เป็นส่วนหนึ่งของศูนย์พัฒนาโครงการหลวงทุ่งเริง ตำบลบ้านปง อำเภอหางดง จังหวัดเชียงใหม่ เป็นสถานที่ท่องเที่ยวเชิงเกษตรแห่งใหม่ ที่เปิดต้อนรับนักท่องเที่ยวให้สัมผัสกับความงดงามของกุหลาบหลากสีสัน นานาพันธุ์ ภายในพื้นที่ตกแต่งสวนสวยงามตามสไตล์อังกฤษ นอกจากได้เดินชมสวนกุหลาบแล้ว ไฮไลท์ คือ ได้นั่งรับประทานอาหารท่ามกลางกลางสวนสวย สูดกลิ่นหอมหวลของดอกกุหลาบ ซึ่งได้จัดโซนรับประทานอาหารพร้อมทั้งเครื่องดื่มและเมนูผักสดจากโครงการหลวงหลากหลากเมนู มีมุมขายผลิตภัณฑ์จากโครงการหลวง เช่น สบู่อโวคาโด แชมพูสระผมและครีมนวดผมที่สกัดจากอโวคาโด ซึ่งโครงการหลวงทุ่งเริงถือว่าเป็นแหล่งปลูกอโวคาโด้ที่ใหญ่เป็นอันดับต้นเมื่อเทียบกับโครงการหลวงทั้งหมด นอกจากนี้ยังมี ชา กาแฟ รวมถึงน้ำมันนวด และน้ำมันหอมระเหย

ซึ่งภายในจะแบ่งออกเป็น 2 โซน คือ สวนด้านล่าง และในส่วนที่อยู่ชั้นเดียวกับที่นั่งรับประทานอาหาร สวนกุหลาบห้วยผักไผ่เป็นแหล่งรวบรวมพันธุ์กุหลาบกว่า 200 สายพันธุ์ อาทิ แดงมินิเจส มิดไนท์บลู ลาเวนเดอร์ดรีม พิงค์พีช บีเวอรี่ เป็นต้น

สามารถเดินทางได้ 2 เส้นทาง คือ จากตัวเมืองเชียงใหม่ใช้เส้นทางหลวงหมายเลข 108 เชียงใหม่–ฮอด ผ่านอำเภอหางดง กิโลเมตรที่ 10 ถึงทางแยก เลี้ยวขวาไปสะเมิงเส้นทางหลวงหมายเลข 1269 จากแยกนี้ไปอีก 18 กิโลเมตร ตั้งอยู่ขวามือทางเข้าเดียวกับรีสอร์ทจักรวาลบ้านดิน เส้นทางนี้ประมาณ 40 กม ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมง อีกเส้นทางคือ ตามทางสายเชียงใหม่-แม่ริม-สะเมิง-หางดง เส้นทางที่สองจะไกลและชันกว่า ใช้เวลาเดินทางประมาณเกือบชั่วโมงครึ่งจากม่อนแจ่ม เหมาะสำหรับคนที่มาเที่ยวม่อนแจ่มแล้วมุ่งตรงมาเที่ยวที่นี่ต่อ

ขึ้นไปกันต่อที่ ม่อนแจ่ม ตั้งอยู่ในอำเภอแม่ริม ห่างจากตัวเมืองเชียงใหม่เพียงแค่ 40 นาทีเป็นส่วนหนึ่งของศูนย์พัฒนาโครงการหลวงหนองหอย ตั้งอยู่บริเวณหมู่บ้านม้ง หนองหอย อ.แม่ริม ม่อนแจ่ม มีอากาศเย็นสบายตลอดปี มีหมอกยามเช้า สามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์ โดยรอบ มองเห็นทิวเขาสลับกันไปไกลสุดลูกหูลูกตา อีกด้านก็จะเป็นไร่ปลูกพืชต่างๆของโครงการหลวง บนยอดม่อนแจ่มมีพื้นที่ ไม่มากนัก สามารถเดินชได้จนทั่วได้อย่างสบาย ม่อนแจ่ม อยู่บนสันเขา บริเวณหมู่บ้านม้งหนองหอย เดิมที่บริเวณนี้ชาวบ้าน เรียกว่ากิ่วเสือเป็นป่ารกร้าง ต่อมาชาวบ้านเข้ามาแผ้วถางและปลูกฝิ่นจนในท้ายที่สุดโครงการหลวง มาขอซื้อพื้นที่เข้า โครงการหลวงหนองหอย เมื่อเข้าเป็นส่วนหนึ่งของโครงการหลวง และได้เข้ามา พัฒนาและปรับปรุงบริเวณม่อนแจ่มให้กลายเป็นสถานที่ ท่องเที่ยวโดยเฉพาะในลักษณะของแค้มปิ้งรีสอร์ท

สิ่งที่น่าสนใจซึ่งเป็นไฮไลต์ของการมาเที่ยวม่อนแจ่ม คือ ชมวิวสูดอากาศบริสุทธิ์ ชมแปลงดอกไม้เมืองหนาว มีร้านค้า ร้านอาหารไว้คอยให้บริการ นั่งดื่มกาแฟ ทานอาหารชมวิวในกระท่อมไม้ไผ่ที่อยู่ติดริมเขาได้บรรยากาศมาก

1. โดยรถยนต์ส่วนตัว
ม่อนแจ่ม เป็นส่วนหนึ่งของ “ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงหนองหอย” อ.แม่ริม ห่างจากตัวเมืองเชียงใหม่เพียง 40นาทีจากตัวเมือง เชียงใหม่ใช้เส้นทางหลวงหมายเลข 107 สายเชียงใหม่-ฝาง ตรงไปถึงอำเภอแม่ริมบริเวณ กม. 17 ให้เลี้ยวซ้ายเข้าทางหลวง หมายเลข 1096 สายแม่ริม-สะเมิง ถึง กม. 15 ให้เลี้ยวขวาที่บ้านโป่งแยกไปอีกประมาณ 6 กิโลเมตร ก็ถึงบนสันเขาม่อนแจ่ม

สวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ ตั้งอยู่ที่อำเภอแม่ริมจังหวัดเชียงใหม่ มีพื้นที่ทั้งหมดประมาณ 3,500 ไร่ เป็นสถานที่ อนุรักษ์และรวบรวมพรรณไม้เป็นหมวดหมู่ตามวงศ์สกุลต่างๆ โดยจัดปลูกให้สอดคล้องกับธรรมชาติมากที่สุดโดย เฉพาะกลุ่มอาคาร เรือนกระจกบนยอดเขาที่มีทั้งความสวยงามและความรู้ ทำให้สวนแห่งนี้เป็นแหล่งพักผ่อนหย่อนใจและ สถานที่ศึกษาธรรมชาติ ด้านพืช และ ภูมิทัศน์ที่โดดเด่นมากสวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ เดิมเรียกว่า “สวนพฤกษศาสตร์แม่สา” นับว่าเป็น สวนพฤกษศาสตร์แห่งแรกของประเทศไทย ที่มีการบริหารจัดการตามมาตรฐานสากล มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาวิจัย และให้ความรู้ ทางด้านพฤกษศาสตร์ ครั้นเมื่อ พ.ศ. 2537 องค์การสวนพฤกษศาสตร์ได้รับพระราชทานพระราชานุญาต จากสมเด็จพระนางเจ้า สิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถให้ใช้ชื่อสวนพฤกษศาสตร์แห่งนี้ว่า “สวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ ปัจจุบันสวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ ได้สร้าง Canopy walkway หรือทางเดินลอยฟ้าเหนือเรือนยอดไม้ที่ยาวที่สุดใน ประเทศไทย ด้วยระยะทางกว่า 400 เมตร และระดับความสูงกว่า 20 เมตร โดยออกแบบให้มีความกลมกลืนกับธรรมชาติ โครงสร้างทำมาจากเหล็กกล้า แข็งแรง บางช่วงยังมีกระจกใสสามารถมองเห็นลงไปด้านล่างได้

Onsen @ Moncham ออนเซ็นแอทม่อนแจ่ม โรงแรมตั้งอยู่ระหว่างทางขึ้นไปม่อนแจ่ม เลยโครงการหลวงหนองหอยไปราวครึ่งกิโลเมตร ในเวิ้งริมทางใต้ไอหมอกที่มีภูเขาบริวารห้อมล้อม คล้ายอาณาจักรส่วนตัวที่ครอบครองโดยหมู่บ้านคนญี่ปุ่น ตั้งอยู่ในห้อมล้อมของภูเขา ทางเข้าและส่วนต้อนรับซึ่งอยู่ริมถนนจึงอยู่ในจุดที่สูงที่สุด ทำให้มองเห็นภูมิทัศน์และสิ่งปลูกสร้างทั้งหมดของโรงแรมได้จากมุมสูง เห็นอาคารที่พักที่ตั้งแยกออกไปสองฝั่ง (ทิศเหนือและทิศใต้) พื้นราบที่อยู่ต่ำสุดคือโรงอาบน้ำร้อน โดยมีสวนบัวแบบญี่ปุ่นตั้งอยู่ด้านหน้า ฉากหลังของพื้นที่ทั้งหมดคือภูเขาลูกย่อมๆ สร้างความแกรนด์ให้กับพื้นที่ ส่วนด้านเหนือและด้านใต้ของโรงแรมมีสวนเกษตรของชาวบ้านตั้งอยู่ ดึงอารมณ์ให้กลับจากญี่ปุ่นมาที่อำเภอแม่ริม แต่ถึงอย่างนั้น นี่ก็คือเสน่ห์ของพื้นที่ที่กลมกลืนไปกับธรรมชาติดีเลยล่ะโรงแรมออกแบบด้วยสถาปัตยกรรมญี่ปุ่นประยุกต์ ซึ่งได้ศิลปินแห่งชาติ อาจารย์กฤษฎา โรจนกร มาดูแลการออกแบบ (อาจารย์เป็นสถาปนิกที่บูรณะและปรับปรุงอาคารเก่าของบ้านพระอาทิตย์ และสถาบันเกอเธ่ รวมทั้งออกแบบอาคารผู้โดยสารสนามบินและโรงแรมชั้นนำหลากหลายแห่ง)โรงแรมมีด้วยกัน 16 ห้อง แบ่งออกได้ถึง 6 ไทป์ เริ่มตั้งแต่ Grand Mountain View, Grand Terrace Suite และ Grand Onsen Suite ที่เป็น 3 ไทป์หลัก โดยไทป์หลังยังมีบ่อออนเซ็นส่วนตัวด้วย ส่วนใครที่มาเป็นหมู่คณะ ก็มีห้อง Majestic Family Suite ซึ่งเป็นห้องเตียงสองชั้น รองรับได้ถึง 8 คน (ซึ่งถ้ามากับเพื่อนเยอะๆ นอนห้องนี้ถือว่าคุ้มมากๆ) ส่วนห้องไทป์อื่นๆ ก็จะมีสิ่งอำนวยความสะดวก และสเปซที่แตกต่างกันออกไป ห้องใหญ่และหรูหราที่สุดคือ Royal Residence

กฎระเบียบการแช่ก็เป็นแบบญี่ปุ่น คือต้องเปลื้องผ้าทั้งตัว (แต่ฝั่งผู้หญิงเขามีกางเกงชั้นในแบบใช้ครั้งเดียวให้สวม) ห้ามถ่ายรูป และห้ามนำโทรศัพท์มือถือเข้าไป โดยสำหรับใครที่ยังไม่เคยแช่ เขาก็มีคำอธิบายบอกขั้นตอนการแช่ไว้ภายในให้เรียบร้อย ซึ่งโรงแรมเขาก็รับลูกค้าแบบ walk-in ด้วย ช่วงโปรโมชั่นตอนนี้อยู่ที่คนละ 350 บาท (ถ้าฤดูท่องเที่ยวจะขึ้นเป็น 500 บาท) มีผ้าเช็ดตัวและน้ำแร่ให้ดื่ม แถมแช่เสร็จก็มีชาร้อนหรือ soft drink เสิร์ฟที่คาเฟ่ของโรงแรม

สถานีเกษตรหลวงอ่างขาง

แน่นอนไฮไลท์หลักของการมาเที่ยวดอยอ่างขาง คือ สถานีเกษตรหลวงอ่างขาง ซึ่งเป็นโครงการหลวงแห่งแรกที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ได้ทรงมีพระราชดำริจัดตั้งขึ้นโดยพระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ เพื่อซื้อที่ดินและไร่ในบริเวณดอยอ่างขางส่วนหนึ่ง จากนั้นจึงโปรดเกล้าฯ ตั้งโครงการหลวงขึ้น เพื่อใช้เป็น สถานีวิจัยและทดลองปลูกพืชเมืองหนาวชนิดต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นผัก ไม้ผล ไม้ดอกเมืองหนาว เพื่อเป็นตัวอย่างแก่เกษตรกรชาวเขาในการนำพืชเหล่านี้มาเพาะปลูกเพื่อสร้างรายได้แทนการปลูกฝิ่น ซึ่งต่อมาพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช พระราชทานนามว่า สถานีเกษตรหลวงอ่างขาง ด้วยความสวยงามของดอกไม้เมืองหนาวนานาชนิด ทำให้ต่อมาสถานีเกษตรฯ จึงได้รับการพัฒนาให้เป็นแหล่งท่องเที่ยว เปิดให้นักท่องเที่ยวสามารถเข้ามาเที่ยวชมภายในสถานีฯได้ โดยใช้รถส่วนตัวขับเข้าไปชมหรือใช้บริการรถรางนำเที่ยวของสถานี ค่าบริการเข้าชมคนละ 50 บาท ค่ายานพาหนะคันละ 50 บาท โดนลักษณะการขับรถเที่ยวจะเป็นวงกลมวนกลับมายังจุดเดิมบริเวณหน้าทางเข้า ซื้อบัตร 1 ครั้ง จะเข้ามาชมกี่รอบก็ได้ในวันเดียวกัน ภายในสถานีฯ จอดแวะถ่ายภาพได้ตลอดทุกจุด แต่จะมีจุดท่องเที่ยวหลัก คือ สวนสมเด็จซึ่งตั้งอยู่ด้านหน้าทางเข้า ติดกันคือโรงเรือนเพาะพันธุ์กุหลาบ และเรือนดอกไม้ตั้งอยู่ตรงข้ามสวนสมเด็จ ถัดไปบริเวณใจกลางสถานี ฯ คือ สวน 80 สวนกุหลาบอังกฤษ และสโมสรอ่างขางซึ่งเป็นร้านอาหารและร้านกาแฟ ไปจบโปรแกรมที่สวนบ๊วยและโรงเรือนรวบรวมพันธุ์ผักซึ่งอยู่ตรงข้ามสวนบ๊วย

ดอกไม้เมืองหนาวในสวนสมเด็จจะปลูกหมุนเวียนในทุกปีและแตกต่างกันตามฤดูกาล เพราะฉะนั้นมาเที่ยวในแต่ละปีก็จะเห็นการจัดสวน ดอกไม้ พันธุ์ไม้ที่ต่างกัน

ในช่วงเดือนมกราคมสามารถชมดอกซากุระแท้บานอวดโฉม ภายในสถานีฯ ซึ่งดอกไม้สีชมพูที่บานไม่ใช่ดอกนางพญาเสือโคร่งแต่จะเป็นดอกซากุระแท้ทั้งหมด ซึ่งมีจุดที่น่าสนใจดังนี้

– ริมถนนระหว่างทางรอบสถานี

– สวนกุหลาบอังกฤษ

– สวน 80

. โดยรถยนต์ส่วนตัว
– มาจาก จ.เชียงใหม่โดยใช้ทางหลวง 107 จนถึง อ.เชียงดาว เลี้ยวซ้ายที่แยกเมืองงายเชื่อมกับทางหลวงหมายเลข1178(1340เดิม) ขึ้นอ่างขาง ได้ตามปกติเหมือนเดิม
– มาจากฝางหรืออำเภอไชยปราการ สามารถใช้ถนนเส้น 1249 เส้นทาง แม่งอน – หนองเต่า ที่ขึ้นจาก อ.ฝาง ได้แล้ว หลังจากมีข่าวปิดเส้นทาง

2.โดยรถสาธารณะ

– รถประจำทางจากจังหวัดเชียงใหม่มาลงยังปากทางขึ้นดอยอ่างขาง สามารถไปขึ้นรถได้ที่ คิวรถช้างเผือก มีทั้งรถตู้ (ราคา 150 บาท) และรถบัสคันใหญ่ (ราคา 85 บาท) หรือจากกรุงเทพ นั่งรถสายกรุงเทพ-ท่าตอน มีให้บริการทั้งของบริษัทขนส่ง และ นิววิระยะทัวร์ โดยไปลงบริเวณทางขึ้นดอยอ่างขางหน้าวัดหาดสำราญ

– จากทางขึ้นอ่างขาง กม. 137 (วัดหาดสำราญ) มีรถคิวสองแถวบริการ รับ-ส่ง นักท่องเที่ยวที่ไม่ขับรถขึ้นดอยเอง

สำหรับผู้ที่ไม่มีรถส่วนตัวและต้องการไปเที่ยวยังจุดต่างๆบนดอยอ่างขาง สามารถเหมารถสองแถวเที่ยวได้ โดยมีรถสองแถวให้บริการบริเวณหน้าสถานีหลายคันจอดให้บริการ หรือจะเหมาจากปากทางขึ้นดอยอ่างขางก็ได้ โปรแกรมนำเที่ยวคร่าวๆ ได้แก่ ไร่ชา 2000หรือจุดชมวิวม่อนสน ไร่สตรอว์เบอร์รี่บ้านนอแล สถานีเกษตรหลวงฯ สามารถเดินเข้าไปสอบถามราคานำเที่ยวได้ ราคาเหมาจะอยู่ที่ 1200 บาท ขึ้นไป แล้วแต่จุดที่ต้องการให้แวะ

HINOKI LAND อาณาจักรไม้สนฮิโนกิแห่งแรกและแห่งเดียวในไทย อยู่ใกล้ๆ แค่เชียงใหม่นี่เอง ด้วยทำเลที่ตั้งอยู่ท่ามกลางขุนเขา และสถาปัตยกรรมสไตล์เจแปนที่มีให้เห็นทั่วบริเวณ ยิ่งทำให้บรรยากาศที่นี่คล้ายกับว่าเป็นประเทศญี่ปุ่นอย่างนั้นจริงๆ ด้วยพื้นที่กว่า100ไร่ ถูกเนรมิตให้เป็นสิ่งปลูกสร้างสุดอลังการ เลียนแบบญี่ปุ่นเปี๊ยบ ไม่ว่าจะเป็นปราสาททอง โคมแดงยักษ์ขนาดยักษ์แบบวัดอาซากุสะที่โตเกียว เสาแดงโทริอิเหมือนที่วัดฟูชิมิอินาริที่เกียวโต หมู่บ้านโบราณ สวนเซ็น สระน้ำขนาดใหญ่ และ ปราสาทฮิโนกิ ซึ่งเป็นไฮไลท์สำคัญของที่นี่ สร้างจากไม้สนฮิโนกิทั้งหลัง เมื่อเข้าไปชมจะได้กลิ่นหอมจากไม้ตระกูลสนไซเพรสพันธุ์ญี่ปุ่นตลบอบอวลทั่วบ้าน HINOKI LAND เมืองญี่ปุ่นจำลอง ที่บ้านศรีดงเย็น ตำบลศรีดงเย็น อำเภอไชยปราการ จังหวัดเชียงใหม่ HINOKI LAND มีบริการเช่าชุดแต่งกายประจำชาติญี่ปุ่น กิโมโน และยูกาตะ มีให้เลือกหลากหลายรูปแบบทั้งชายหญิง ในราคาผู้ใหญ่ 350 บาท เด็ก 100 บาท ราคานี้รวมเสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า ดาบซามูไร พร็อพต่างๆ สำหรับถ่ายรูปแบบครบเซ็ท เรียกได้ว่าจัดกันไปเต็มๆทั้งเครื่องแต่งกาย และสถานที่กันเลยทีเดียว

สำหรับบัตรค่าเข้าชมสามารถใช้เป็นบัตรส่วนลดในการเช่าชุดกิโมโน หรือจะแลกน้ำชา รสชาติแบบญี่ปุ่นก็ได้ ถ้าใครหิวก่อนทางเข้าก็ยังมีอาหารไว้คอยบริการให้เลือกทานมากมาย นอกจากนี้ยังมีของฝากให้เลือกมากมาย

ค่าเข้าชม :

– ผู้ใหญ่ คนไทย ราคา 180 บาท ต่างชาติ ราคา 230 บาท – เด็ก คนไทย ราคา 50 บาท ต่างชาติ ราคา 70 บาท – เด็กส่วนสูงไม่เกิน 120 ซม. เข้าชมฟรี

วันและเวลาเปิดให้บริการ : ฮิโนกิแลนด์ เปิดทำการทุกวัน ไม่มีวันหยุด ตั้งแต่เวลา 08.00 – 17.00 น.

ติดต่อฮิโนกิแลนด์ (HINOKI LAND) : 094 731 0731

FACEBOOK : BANNMAIHOMHINOKI บ้านไม้หอมฮิโนกิ

อุทยานหลวงราชพฤกษ์

(Royal Park Rajapruek) เป็นสวนพฤกษศาสตร์ขนาดใหญ่ สร้างขึ้นมาเพื่อใช้จัดงานมหกรรมพืชสวนโลกเฉลิมพระเกียรติฯ ราชพฤกษ์ 2549 ซึ่งเป็นงานที่ประสบความสำเร็จอย่างมาก ต่อมาก็ได้มีการต่อยอดให้สถานที่แห่งนี้กลายเป็นแหล่งเรียนรู้พืชสวน และเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางการเกษตรและวัฒนธรรมของจังหวัดเชียงใหม่ ปัจจุบันอุทยานหลวงราชพฤกษ์ (Ratchaphruek Garden) กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญที่นักท่องเที่ยวจะต้องแวะไปเยือนเมื่อไปเชียงใหม่ (Chiang mai Travel)

เนื่องจากพื้นที่อุทยานหลวงราชพฤกษ์มีความกว้างขวางมาก จึงมีรถบริการรับส่งนักท่องเที่ยวในจุดต่างๆ ช่วยอำนวยความสะดวกให้กับนักท่องเที่ยว โดยภายในอุทยานจะแบ่งเป็นโซนต่างๆ เช่น

· หอคำหลวง เป็นส่วนแสดงสำคัญและยิ่งใหญ่ที่สุดในงาน เป็นพื้นที่จัดแสดงส่วนกลางที่โดดเด่นและสง่างามที่สุด

· สวนองค์กรเฉลิมพระเกียรติ เป็นสวนที่องค์กรระดับแนวหน้าของไทยร่วมแสดงการจัดสวน

· สวนไทย เป็นพื้นที่จัดแสดงพืชสวนเขตร้อนชื้น ประกอบด้วยสวนและอาคารต่างๆ อีกหลายแห่ง

· สวนนานาชาติเฉลิมพระเกียรติ ฯ เป็นพื้นที่จัดแสดงของมิตรประเทศที่มาร่วมเฉลิมฉลอง โดยมีประเทศต่างๆ เข้าร่วมจัดสวนทั้งหมด 24 สวน

· โลกแมลง ศูนย์กลางการเรียนรู้ การค้นหาความมหัศจรรย์และพฤติกรรมแปลกๆ ของแมลงต่าง ๆ

· สวนเกษตรทฤษฏีใหม่ เรียนรู้วิถีแบบพอเพียง

· สวนความหลากหลายทางชีวภาพ

ข้อมูลการติดต่อ

โทรศัพท์ : 053-114110-5 ประชาสัมพันธ์ ต่อ 0 ฝ่ายการตลาดและกิจกรรม ต่อ 1229 ฝ่ายวิชาการและสวน ต่อ 1207

เว็บไซต์ http://www.royalparkrajapruek.org

ข้อมูลการเดินทาง

โดยรถยนต์

เส้นทางที่ 1 จากตัวเมืองเชียงใหม่ไปตามถนนห้วยแก้ว (ทางหลวงหมายเลข 1004 ) เลี้ยวซ้ายเข้าสู่ถนนคันคลองชลประทาน(ทางหลวง หมายเลข 121) ไปอำเภอหางดง ประมาณ 10 กิโลเมตร แล้วเลี้ยวขวาเข้าสู่ถนนราชพฤกษ์ประมาณ 2 กิโลเมตร

เส้นทางที่ 2 จากตัวเมืองเชียงใหม่ ไปตามถนนเชียงใหม่ – หางดง (ทางหลวงหมายเลข 108) แล้วเลี้ยวขวาเข้าถนนราชพฤกษ์ประมาณ 4 กิโลเมตร จะถึงอุทยานหลวงราชพฤกษ์