ทีเส็บยกระดับงานไมซ์ในชุมชน กระตุ้นการจัดประชุมสัมมนาในประเทศ กระจายรายได้สู่ภูมิภาค
ทีเส็บ เผยนโยบายส่งเสริมชุมชนเข้าสู่ตลาดไมซ์ได้ผลดี งานส่งเสริมชุมชน 4 กิจกรรมสร้างรายได้แล้วเกินร้อยล้านบาท พร้อมยกระดับด้วยกิจกรรม “ไมซ์โชว์เคส” เปิดตลาดให้ชุมชนเสนอบริการจัดประชุมสัมนาให้แก่หน่วยราชการและเอกชน ระหว่าง 21-23 สิงหาคม นายจิรุตถ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ ทีเส็บ เปิดเผยว่า ทีเส็บร่วมกับกรมส่งเสริมสหกรณ์จัด “โครงการไมซ์เพื่อชุมชน” ขึ้น คัดเลือกชุมชนสหกรณ์ที่มีศักยภาพในการส่งเสริมและพัฒนาให้เป็นจุดหมายใหม่รองรับการจัดงานไมซ์ โดยมุ่งหวังให้เป็นแหล่งฝึกอบรม ศึกษาดูงาน การจัดกิจกรรมเรียนรู้นอกสถานที่ ตลอดจนกิจกรรมพิเศษผ่านการสร้างสรรค์ที่เหมาะกับอัตลักษณ์ของแต่ละท้องถิ่น โดยปีนี้จัดขึ้นเป็นปีที่สอง ปัจจุบันมีสหกรณ์ที่เข้าร่วมโครงการแล้วกว่า 85 แห่ง ทีเส็บมีบทบาทในการพัฒนาและส่งเสริมการตลาด อาทิ การจัดทริปนำกลุ่มผู้แทนองค์กรหน่วยงานเยี่ยมชมสหกรณ์ที่มีความพร้อมรองรับการจัดประชุมสัมมนา เพื่อกระตุ้นให้ชุมชนได้พบปะพูดคุยกับองค์กรหน่วยงาน เรียนรู้ความต้องการของตลาดลูกค้า เพิ่มทักษะในการพัฒนาสถานที่และสินค้าบริการให้ตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าที่จะเข้ามาประชุมสัมมนาและจับจ่ายใช้สอย ขณะเดียวกันทางด้านองค์กรหน่วยงานลูกค้ามีโอกาสได้เห็นสินค้าบริการ ตลอดจนสัมผัสประสบการณ์และวิถีชีวิตของชุมชนด้วยตนเอง การจัดงาน ไมซ์เพื่อชุมชน “เปิดมิติใหม่ อุตสาหกรรมไมซ์” ระหว่างวันที่ 21-23 สิงหาคมนี้ ทีเส็บร่วมกับกรมส่งเสริมสหกรณ์ จัดงาน “ไมซ์โชว์เคส” แสดงสินค้าจากสหกรณ์คุณภาพที่เข้าร่วมโครงการไมซ์เพื่อชุมชนปีที่ 2 โดยมีตัวแทนสหกรณ์เข้าร่วมจำนวน 25 แห่ง ภายในงานมีการแสดงสินค้า ของดีในพื้นที่สหกรณ์ที่เข้าร่วมโครงการ อาทิ สหกรณ์โคนมมวกเหล็ก สหกรณ์เครือข่ายโคเนื้อ (Max Beef) สหกรณ์ประมงคุ้งกระเบน สหกรณ์เกษตรนิคมชุมแสงจันทร์ เป็นต้น โดยกำหนดจัดงานขึ้น ณ ลานอาคาร B อาคารรัฐประศาสนภักดี ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ ปัจจุบันโครงการไมซ์เพื่อชุมชนมี 5 เส้นทางนำร่องเป็นแหล่งศึกษาดูงาน ได้แก่ 1) สหกรณ์บ้านลาด จ.เพชรบุรี 2) สหกรณ์โคนมมวกเหล็ก จ.สระบุรี 3) สหกรณ์โคเนื้อมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์กำแพงแสนและสหกรณ์โคนม จ.นครปฐม 4) สหกรณ์นิคมวังไทร และ 5) สหกรณ์นิคมชุมแสงจันทร์ จ.ระยอง สหกรณ์ทั้งหมดพร้อมเป็นแหล่งศึกษาดูงานและสถานที่จัดกิจกรรมรองรับทั้งภาครัฐและเอกชน เป็นทางเลือกสำหรับการจัดประชุมนอกสถานที่ และในพื้นที่ยังมีวิถีชุมชนที่น่าสนใจอีกมากมาย สหกรณ์โคนมมวกเหล็ก จ.สระบุรี เป็นพื้นที่นำร่องแห่งแรก เพื่อสร้างการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ระหว่างชุมชนสหกรณ์และองค์กรหน่วยงานที่สนใจจัดกิจกรรมประชุมสัมมนา มีทั้งองค์ความรู้เทคโนโลยีสมัยใหม่ด้านการจำหน่ายและบริการ สินค้าอุปโภคบริโภคทั่วไป บริการปั๊มน้ำมัน ธุรกิจสินเชื่อ เปิดโรงงานแปรรูปนม รวมถึงอาหารสัตว์ ครอบคลุมด้านการตลาด และการพัฒนารูปแบบสินค้าและบริการซึ่งจะช่วยพัฒนาอาชีพ เพิ่มรายได้ และสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชนในระยะยาว ด้านสหกรณ์โคเนื้อมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์กำแพงแสน เป็นสหกรณ์ที่เหมาะสำหรับการประชุมต่างจังหวัดในระยะทางที่ไม่ไกลจากกรุงเทพฯ ตามแนวคิด “ประชุม เที่ยว เรื่องเดียวกัน” โดยมีกิจกรรมที่น่าสนใจ อาทิ การสาธิตการปรุงเนื้อโคพันธุ์กำแพงแสน สเต็กเนื้อนุ่ม การแนะนำผลิตภัณฑ์แปรรูปจากเนื้อโค อีกทั้งยังสามารถเยี่ยมชมโรงงานแปรรูปนมสดแบบครบวงจรในเส้นทางนี้ด้วย โดยแวะชิมเมนูขายดีของร้านค้าสหกรณ์ อาทิ นมพาสเตอร์ไรส์หลากหลายรสชาติและนมผสมวุ้นมะพร้าว เป็นต้น สหกรณ์นิคมวังไทร จังหวัดระยอง โดดเด่นด้านนวัตกรรมการเกษตรของทุเรียน อาทิ การทำ QR Code เพื่อให้ข้อมูลทุเรียน หรือโครงการจองทุเรียนล่วงหน้าที่นับว่าเป็นโครงการใหม่ และมีไฮไลท์สำคัญ คือ การชิมผลไม้สดจากต้น และเยี่ยมชมการดูแลสวนทุเรียนของกลุ่มสมาชิกสหกรณ์อีกด้วย และด้านสหกรณ์นิคมชุมแสงจันทร์ จังหวัดระยอง มีความพร้อมของพื้นที่ห้องประชุมและอาคารรองรับการจัดประชุมสัมมนา การเลือกซื้อผลิตผลและของฝากจากสมาชิกสหกรณ์และชุมชนใกล้เคียงจากตลาดที่ชาวบ้านมาขายด้วยตัวเอง สามารถสร้างรายได้โดยตรงให้กับชุมชนได้เป็นอย่างดี ผลสำเร็จหลังจากเดินหน้าโครงการ “ไมซ์เพื่อชุมชน” ปีที่ 2 สร้างมูลค่าเม็ดเงินหมุนเวียนในชุมชนที่เป็นแหล่งศึกษาดูงานแล้วกว่า 100 ล้านบาท ส่งผลต่อการสร้างรายได้และการพัฒนาชุมชนท้องถิ่นผ่านการพบปะแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ระหว่างหน่วยงานองค์กรและชุมชนที่ร่วมจัดกิจกรรมและประชุมสัมมนาในพื้นที่ ผู้อำนวยการทีเส็บ กล่าวต่อไปว่า ปีนี้ทีเส็บริเริ่มอีกหลายโครงการร่วมกับเครือข่ายพันธมิตรจากหลายหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อผลักดันให้อุตสาหกรรมไมซ์พัฒนาไปสู่กลุ่มเป้าหมายชุมชนผ่านโมเดลสามประสาน บูรณาการความร่วมมือหน่วยงานรัฐ องค์กรภาคเอกชน และชุมชนในบริบทที่แตกต่างกันไปตามภูมิสังคม ส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาสินค้าและบริการรองรับการจัดงานและกิจกรรมไมซ์ เพิ่มรายได้ให้กับชุมชน และกระจายรายได้สู่ท้องถิ่น สอดคล้องนโยบายหลักของรัฐบาลเพื่อสร้างสังคมยั่งยืนทั่วประเทศ นวัตวิถีไมซ์ เป็นความร่วมมือระหว่างทีเส็บลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือกับกรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และสมาคมส่งเสริมการประชุมนานาชาติ (ไทย) เพื่อส่งเสริมชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถีสู่อุตสาหกรรมไมซ์ คัดเลือก 8 ชุมชนใน 4 จังหวัดภาคเหนือตอนบน ได้แก่ เชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง และแม่ฮ่องสอน เป็นพื้นที่นำร่องในการดำเนินงาน ภายใต้การลงนามความร่วมมือของทั้ง 4 หน่วยงานนี้ และร่วมกันจัดงาน OTOP Midyear 2019 เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ซึ่งนับเป็นครั้งแรกที่ทีเส็บสนับสนุนกิจกรรมเจรจาจับคู่ทางธุรกิจ (Business Matching) ภายในงาน ซึ่งมีกระแสตอบรับที่ดีจากทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย โดยตลอดการจัดงาน 9 วัน มีการเจรจาซื้อขายคิดเป็นมูลค่าถึงกว่า 40 ล้าน